"อิโมจิ (Emoji)" ที่เราใช้กันอยู่ทุกวัน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแสดงความรู้สึกผ่าน SNS และการแชท แต่คุณรู้หรือไม่ว่า "อิโมจิ" นี้มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น โดยกำเนิดจากบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับโทรศัพท์มือถือแบบฟีเจอร์โฟน (ガラケー - Galakei) ที่เรียกว่า "i-mode"
ในบทความนี้ จะนำเสนอประวัติความเป็นมาของอิโมจิ ว่าถือกำเนิดขึ้นในญี่ปุ่นได้อย่างไร และแพร่หลายไปทั่วโลก รวมถึงแนะนำ TOP 5 อิโมจิยอดนิยมที่ใช้บ่อยในญี่ปุ่น เช่น "Pien (ぴえん)" และ "Ase (汗)" พร้อมทั้งอธิบายความแตกต่างในการใช้งานกับต่างประเทศด้วย
อีโมจิคืออะไร? ความหมายและจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร
"อิโมจิ (Emoji)" คือ ไอคอนกราฟิกขนาดเล็กที่ใช้แสดงอารมณ์และข้อมูลทางสายตาในข้อความ มีบทบาทในการเติมเต็มความหมายที่อาจสื่อสารได้ไม่ชัดเจนด้วยข้อความเพียงอย่างเดียว
ณ เดือนกันยายน 2025 จำนวนอิโมจิทั้งหมดที่ลงทะเบียนใน Unicode (ยูนิโค้ด) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลสำหรับรหัสอักขระ มีประมาณ 3,953 ตัว จำนวนนี้รวมถึงตัวเลือกที่มีความหลากหลาย เช่น เพศและสีผิว
นอกจากนี้ ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของอิโมจิคือ ไม่ได้เป็นเพียงแค่การตกแต่ง แต่ถูกกำหนดให้เป็น "ส่วนหนึ่งของตัวอักษร" เช่นเดียวกับ "อักษรฮิระงะนะ" หรือ "ภาษาอังกฤษ" นี่คือเหตุผลที่อิโมจิ "❤ (หัวใจ)" ที่คุณส่งจาก iPhone จะแสดงผลเป็นอิโมจิที่มีความหมายเดียวกันบนหน้าจอของผู้ใช้ Android หรือแม้แต่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ Windows โดยไม่มีปัญหาตัวอักษรผิดเพี้ยนหรือการแสดงผลล้มเหลว
อิโมจิมีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น: ประวัติการกำเนิดจากบริการ "i-mode" สำหรับโทรศัพท์มือถือ
อิโมจิ (Emoji) ที่เราใช้กันเป็นปกติใน SNS และการแชทในปัจจุบันนี้ แท้จริงแล้วเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากโทรศัพท์มือถือในญี่ปุ่น
จุดเริ่มต้นย้อนกลับไปในปี 1999 เมื่อ NTT Docomo เริ่มให้บริการ "i-mode" ซึ่งเป็นบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำหรับฟีเจอร์โฟน (ガラケー - Galakei)
อิโมจิ 176 ตัวแรกของโลกที่ MoMA ก็ให้การยอมรับ
ผู้ให้กำเนิดอิโมจิคือ คุณชิเงทากะ คุริตะ (Shigetaka Kurita) ซึ่งในขณะนั้นรับผิดชอบการวางแผนและพัฒนา i-mode แนวคิดเรื่องอิโมจิของคุณคุริตะได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์สมัยใช้เพจเจอร์
👉【บทความที่เกี่ยวข้อง】รู้จักกับเพจเจอร์ (Pocket Bell)
สมัยนั้น เพจเจอร์ใช้ได้เพียงไม่กี่สัญลักษณ์ เช่น "¥" และ "♥" ไม่สามารถแสดงความรู้สึกได้อย่างหลากหลายด้วยอิโมจิเหมือนในปัจจุบัน
คุณเองก็เคยมีประสบการณ์ที่ข้อความที่ตั้งใจจะสื่อสารอย่างกระชับถูกตีความว่าเย็นชา หรือรู้สึกสับสนกับความหมายที่แท้จริงของข้อความที่ได้รับใช่ไหม?
วันหนึ่ง คุณคุริตะสังเกตเห็นว่าข้อความที่มี "♥" ต่อท้าย ทำให้ข้อความทั้งหมดดูเป็นบวกได้ ด้วยสัญลักษณ์รูปหัวใจเพียงอันเดียว
ว่ากันว่าผู้คนมักให้ความสำคัญกับ "ความรู้สึก" ที่สื่อสารออกมามากกว่าข้อมูลตัวอักษรเอง ในกรณีนี้ "ความรู้สึก" ที่แฝงอยู่ใน "♥" ได้ส่งผลในทางบวก
จากความเข้าใจนี้ คุณคุริตะจึงได้คิดค้นอิโมจิขึ้นมา เพื่อแสดง "อารมณ์" ที่สื่อสารได้ยากด้วยข้อความเพียงอย่างเดียว และ "ข้อมูล" เช่น ยานพาหนะ อาหาร และอาคาร ในรูปแบบที่เรียบง่ายขึ้น ดังนั้น อิโมจิ 176 ตัวแรกของโลกจึงถือกำเนิดขึ้น
อิโมจิชุดแรก 176 ตัวนี้ ต่อมาได้รับเลือกให้เป็น ของสะสมถาวรของพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่แห่งนิวยอร์ก (MoMA) และได้รับการยกย่องในระดับโลกในฐานะรูปแบบการแสดงออกทางดิจิทัลที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่น
วัฒนธรรมอีโมจิที่มีบทบาทในวงการธุรกิจของญี่ปุ่น
อิโมจิที่ถือกำเนิดขึ้นในญี่ปุ่นนี้ ปัจจุบันไม่ได้ใช้แค่ในการสื่อสารส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในแวดวงธุรกิจอย่างจริงจังด้วย
จากการสำรวจที่เผยแพร่โดยสมาคมการสื่อสารออนไลน์ (Online Communication Association) ต่อคำถามที่ว่า "คุณใช้ อิโมจิ/อีโมติคอน ในการสื่อสารข้อความ เช่น แชทหรืออีเมลในการทำงานหรือไม่" 78.4% ตอบว่า "ใช้"
เหตุผลที่ได้รับความนิยม ได้แก่
“เพราะสามารถถ่ายทอดอารมณ์หรือความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนได้ง่ายขึ้น” (52.9%)
“ถ้าไม่มีอีโมจิหรืออีโมติคอน อาจทำให้ดูน่ากลัวหรือเหมือนกำลังโกรธ” (51.7%)
“ช่วยลดเวลาพิมพ์ข้อความและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน” (48.3%)
แสดงให้เห็นว่าอิโมจิถูกใช้เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลราบรื่นและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
อ้างอิงจาก: About 80% of high performers use "emoji/emoticon" even in business scenes. Why? (December 2022)
[อัปเดตล่าสุด] แนะนำ TOP 5 อิโมจิที่ใช้บ่อยในญี่ปุ่น (เช่น Pien, Ase)
ในความเป็นจริง อิโมจิแบบไหนที่คนญี่ปุ่นใช้บ่อย? บริษัท Baidu ได้เผยแพร่แนวโน้มการใช้อิโมจิใน 16 ประเทศทั่วโลก เนื่องในโอกาส "วันอิโมจิโลก (World Emoji Day)" ในวันที่ 17 กรกฎาคม
ผลการสำรวจพบว่า TOP 5 อิโมจิที่ถูกใช้มากที่สุดในญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 มีดังนี้
อันดับ 1: 😭 (หน้าร้องไห้เสียงดัง)
อันดับ 2: 💦 (เหงื่อ/อาเซะอาเซะ)
อันดับ 3: ‼️ (เครื่องหมายอัศเจรีย์คู่)
อันดับ 4: 🤣 (หัวเราะกลิ้ง)
อันดับ 5: 🥺 (ぴえん/ใบหน้าที่กำลังอ้อนวอน)
อิโมจิที่ใช้มากที่สุดในญี่ปุ่นคือ "😭 (ใบหน้าร้องไห้เสียงดัง)" แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นอิโมจิในแง่ลบ แต่ในความเป็นจริงก็ถูกใช้บ่อยในบริบทที่เป็นบวก เช่น "ร้องไห้ด้วยความยินดี" หรือ "ซาบซึ้งใจ"
นอกจากนี้ อิโมจิเช่น "💦 (เหงื่อ/เหงื่อตก)" และ "‼️ (เครื่องหมายอัศเจรีย์คู่)" ก็ติดอันดับสูงด้วย ซึ่งถูกวิเคราะห์ว่า "สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมการสื่อสารเฉพาะตัวของคนญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับการ 'เห็นอกเห็นใจ' และ 'การเอาใจใส่' อย่างชัดเจน"
รู้หรือไม่? วิธีใช้และความหมายของอีโมจิที่แตกต่างกันระหว่างญี่ปุ่นกับต่างประเทศ
แม้ว่าอิโมจิจะกลายเป็นภาษาสากล แต่ความหมายของมันอาจแตกต่างกันไปตามประเทศและวัฒนธรรม การใช้อิโมจิโดยไม่ตั้งใจ อาจถูกตีความในความหมายที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในต่างประเทศ...
ในที่นี้จะขอแนะนำ 5 อิโมจิยอดนิยมที่มีการใช้งานแตกต่างกันระหว่างญี่ปุ่นกับต่างประเทศ
①🙄 (หน้ามองขึ้น) หมายถึงกำลังคิด? หรือเบื่อหน่าย?
ในญี่ปุ่น มักใช้อีโมจินี้ในเวลาที่กำลังครุ่นคิด เช่น “เอ...🙄” หรือ “จะทำยังไงดีนะ🙄”
อย่างไรก็ตาม ในต่างประเทศมักจะใช้ในความหมายเชิงลบ เช่น "ตกใจ" หรือ "เบื่อหน่าย" เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นจึงเป็นอีโมจิที่ควรระวัง เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้ด้วย
②🙏(อธิษฐาน)คือการขอร้อง? หรือไฮไฟว์?
ในญี่ปุ่น: มักใช้ในสถานการณ์ การขอโทษหรือการขอร้อง เช่น "ขอโทษนะ 🙏" หรือ "ช่วยหน่อยนะ 🙏"
ในต่างประเทศ: ใช้ตามความหมายเดิมคือ "การอธิษฐาน" นอกจากนี้ บางคนยังตีความว่าเป็นอิโมจิ "ไฮไฟว์ (High Five)"
③🙇♀️(คนโค้งคำนับ)คือขอโทษ? หรือออกกำลังกาย?
ในญี่ปุ่น: มักใช้เมื่อต้องการ ขอโทษหรือแสดงความขอบคุณ เช่น "ขอโทษค่ะ 🙇♀️" หรือ "ขอบคุณมากค่ะ 🙇♀️"
ในต่างประเทศ: อาจถูกตีความว่าเป็น "คนกำลังคิด" หรือแม้กระทั่ง "คนกำลังออกกำลังกาย"...
อิโมจินี้ที่คนญี่ปุ่นอาจมองว่าเป็น "การก้มกราบ (Dogeza)" เพื่อแสดงความขอโทษอย่างสูงสุด แต่ในบางประเทศอาจให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
④🙆♀️(คนทำท่า OK)คือ OK? หรือนักบัลเลต์?
ในญี่ปุ่น: มักใช้ในสถานการณ์ที่เป็นบวกในความหมาย "OK" เช่น "ได้เลย 🙆♀️" หรือ "ไม่เป็นไร 🙆♀️"
ในต่างประเทศ: มีการกล่าวว่า "ไม่เข้าใจว่าเป็นการทำท่าอะไร" บางคนก็ตีความว่าเป็น "นักบัลเลต์"
แม้จะเป็นท่าทางที่เห็นบ่อยในการแสดงท่าทาง แต่ก็อาจเป็นหนึ่งในอิโมจิที่สื่อสารไม่ตรงกันในระดับสากล
⑤😇(ใบหน้ายิ้มที่มีวงแหวนนางฟ้า) จบแล้ว (O-wa-ta)? หรือนางฟ้า?
ในญี่ปุ่น: มักใช้ในบริบท "O-wa-ta 😇" ซึ่งเป็นการแสดงออกอย่างอารมณ์ขันถึงสถานการณ์ที่สิ้นหวัง เช่น "จบแล้ว" หรือ "ไม่ไหวแล้ว"
ในต่างประเทศ: ใช้เป็นสัญลักษณ์เชิงบวก หมายถึง นางฟ้าหรือคนดี
"O-wa-ta 😇" เป็นการใช้ที่เกิดจากวัฒนธรรมสแลงทางอินเทอร์เน็ตของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ซึ่งอาจทำให้ชาวต่างชาติรู้สึก "งง?" ได้
ทีมงาน FUN! JAPAN ทดลองใช้จริง! เปรียบเทียบการใช้อีโมจิในชีวิตจริง
สุดท้ายนี้ เพื่อดูว่ามีการใช้อิโมจิอย่างไรในชีวิตจริง เราได้ขอให้พนักงานชาวญี่ปุ่นและพนักงานต่างชาติของ FUN! JAPAN ใส่ อิโมจิ ตามที่พวกเขาต้องการลงในข้อความเดียวกัน
ประโยคที่ให้ใส่อีโมจิมีดังนี้
กรณีที่ 1: สถานการณ์ระหว่างเพื่อน
ขอโทษนะ พลาดรถไฟ เลยจะไปช้าหน่อย ถึงสถานีแล้วจะรีบไปหานะ!
กรณีที่ 2: การสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานในที่ทำงาน
A: รบกวนช่วยสรุปเอกสารนี้ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ได้ไหมครับ?
B: รับทราบครับ
A: ขอบคุณมากครับ ฝากด้วยนะครับ
<วันถัดมา>
B: เอกสารเสร็จแล้วครับ
A: ขอบคุณที่สรุปให้อย่างสวยงามมากๆ! ช่วยได้เยอะเลย!
ทีมงานชาวญี่ปุ่น 1: ผู้หญิง อายุ 20 กว่า
กรณีที่ 1
A: ขอโทษค่ะ🙇♀️ พลาดรถไฟ เลยจะไปช้าหน่อย ถึงสถานีแล้วจะรีบไปหานะ!
กรณีที่ 2
A: รบกวนช่วยสรุปเอกสารนี้ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ได้ไหมคะ?🙇♀️
B: รับทราบค่ะ🙆♀️
A: ขอบคุณค่ะ ฝากด้วยนะคะ
<วันถัดมา>
B: เอกสารเสร็จแล้วค่ะ
A: ขอบคุณที่สรุปให้อย่างสวยงามมากๆ🙇♀️ ช่วยได้เยอะเลย😭
ทีมงานชาวญี่ปุ่น 2: ผู้ชาย อายุ 30 กว่า
กรณีที่ 1
A: ขอโทษนะ พลาดรถไฟ เลยจะไปช้าหน่อย🙏 ถึงสถานีแล้วจะรีบไปหานะ!🙇♂️
กรณีตัวอย่าง②
A: ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยสรุปเอกสารนี้ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ได้ไหมคะ? 🥺
B: รับทราบค่ะ! 🙆♂️
A: ขอบคุณมากค่ะ ฝากด้วยนะคะ 🙏
<วันถัดมา>
B: เอกสารเสร็จแล้วนะคะ ✌️
A: ขอบคุณที่สรุปให้อย่างสวยงามมากค่ะ! ช่วยได้เยอะเลยค่ะ! 🙇♂️
เจ้าหน้าที่นานาชาติ① อายุ 30 กว่า เพศหญิง
กรณีตัวอย่าง①
A: ขอโทษนะคะ 🙇♀️🙇♀️🙇♀️ พลาดรถไฟ เลยจะไปช้านิดหน่อย 😭 ถึงสถานีแล้วจะรีบไปหานะ! 💪
กรณีตัวอย่าง②
A: ขอโทษนะคะ รบกวนช่วยสรุปเอกสารนี้ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ได้ไหมคะ? 🙏
B: รับทราบค่ะ! 👌
A: ขอบคุณมากค่ะ ฝากด้วยนะคะ
<วันถัดมา>
B: เอกสารเสร็จแล้วค่ะ
A: ขอบคุณที่สรุปให้อย่างสวยงามมากค่ะ! ช่วยได้เยอะเลยค่ะ! 🙏
เจ้าหน้าที่นานาชาติ② อายุ 30 กว่า เพศชาย
กรณีตัวอย่าง①
A: ขอโทษนะครับ‼️ พลาดรถไฟ เลยจะไปช้านิดหน่อย 🥹 ถึงสถานีแล้วจะรีบไปหานะ! 💨
กรณีตัวอย่าง②
A: ขอโทษนะครับ รบกวนช่วยสรุปเอกสารนี้ให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ได้ไหมครับ? 🥺🙏
B: รับทราบครับ! 👌
A: ขอบคุณมากครับ ฝากด้วยนะครับ 😊
<วันถัดมา>
B: เอกสารเสร็จแล้วครับ ✌️
A: ขอบคุณที่สรุปให้อย่างสวยงามมากครับ! 😳 ช่วยได้เยอะเลยครับ! 🙌
ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและรูปแบบการสื่อสารที่มองเห็นได้จากอิโมจิ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่าพนักงานชาวญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะใช้ "🙇♀️ (คนกำลังโค้งคำนับ)" บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่ใช้ในการขอโทษเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อแสดงถึง "ความสุภาพ" และ "ความเกรงใจ" ด้วย
ในทางกลับกัน พนักงานต่างชาติใช้ "👌 (สัญลักษณ์โอเค)" แทน "🙆♀️ (คนทำท่าโอเค)" เพื่อแสดงความหมายว่า "OK" ซึ่งเป็นจุดที่น่าสนใจของความแตกต่างในการแสดงออก
อิโมจิไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ แต่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและรูปแบบการสื่อสารของประเทศนั้นๆ เช่นเดียวกับภาษา การเรียนรู้ความแตกต่างในการใช้และความหมายของอิโมจิก็เป็นก้าวหนึ่งในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่าง
ลองใช้อิโมจินี้เพื่อสังเกตการใช้อิโมจิ และใช้เป็นเบาะแสในการทำความรู้จักคู่สนทนาของคุณให้มากขึ้นนะคะ
Comments