【วัดและศาลเจ้าญี่ปุ่น】 อธิษฐานขอพรต่อพระพุทธรูปคลุมมอส: เรื่องราวของผู้คนที่ถักทอโดยวัดโฮเซ็นจิ ใจกลางมินามิ โอซาก้า

  • 8 กรกฎาคม 2025
  • Itsuka Okamoto

วัดโฮเซ็นจิตั้งอยู่อย่างเงียบสงบในตรอกเล็ก ๆ ด้านหลังถนนโดทงโบริ เพียงเดินไม่กี่นาทีจากเขตนัมบะที่คึกคักของโอซาก้า ที่นี่เปรียบเสมือนโอเอซิสกลางเมือง เป็นที่ประดิษฐานพระฟุโดเมียวโอ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่หาชมได้ยาก โดยมีเอกลักษณ์คือการราดน้ำลงบนองค์พระ และปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวทั่วทั้งองค์ วัดแห่งนี้เคยผ่านพ้นอุปสรรคนานัปการ และได้รับคำอธิษฐานจากผู้มาเยือนนับไม่ถ้วน เบื้องหลังนั้นมีทั้งประวัติศาสตร์ที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก และเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นจุดแสวงบุญทางจิตวิญญาณที่คุณควรแวะเยี่ยมเมื่อมาเที่ยวโอซาก้า

ในใจกลางโอซาก้ามินามิ เรื่องราวของผู้คนที่ถักทอโดยวัดโฮเซ็นจิ

โอซาก้า มินามิ โดทงโบริ ป้ายกลิโกะนีออนระยิบระยับ และรูปปั้นปูยักษ์ยืนตระหง่านมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมา นี่คือหนึ่งในย่านที่มีพลังที่สุดในญี่ปุ่น แต่หากคุณก้าวออกจากถนนสายหลักเข้าสู่ตรอกด้านข้างเพียงก้าวเดียว ก็จะพบกับมุมลึกลับที่ดูเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ที่นั่นคือ "โฮเซ็นจิโยโกะโจ"

ในตรอกที่ปูด้วยหินชื้นแฉะนี้ โคมไฟแกว่งไกวส่งแสงอุ่น ๆ ร้านอาหารคัปโปแบบดั้งเดิมที่เปิดมายาวนาน และบาร์ที่มีสไตล์ตั้งเรียงรายเคียงกัน ที่ใจกลางตรอกอันมีบรรยากาศล้ำค่านั้น ตั้งตระหง่านอยู่คือ "วัดโฮเซ็นจิ" จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ นักท่องเที่ยวมากมายหยุดยืน ยกสมาร์ทโฟนขึ้นถ่ายพระฟุโดเมียวโอที่ถูกมอสสีเขียวสดปกคลุมทั่วองค์ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า "มิซุคาเคะฟุโด" ยืนอย่างเงียบสงบอยู่ตรงนั้น

"นิชิมุกิ ฟุโดเมียวโอ" (พระฟุโดเมียวโอหันหน้าไปทางตะวันตก) หรือที่รู้จักกันอย่างรักใคร่ว่า "มิซุคาเคะ ฟุโด" (ฟุโดผู้ถูกราดน้ำ)

เหตุใดจึงถูกปกคลุมด้วยมอสหนาแน่นเช่นนั้น? เหตุใดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชวนให้นึกถึงอดีตและสงบจิตได้เช่นนี้ จึงยังคงอยู่ราวกับเป็นปาฏิหาริย์กลางเมืองสมัยใหม่?

เพื่อหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ เราได้พูดคุยกับคุณชินเอ คันดะ รองเจ้าอาวาสวัดโฮเซ็นจิ สิ่งที่เผยออกมาคือเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ของวัดและย่านนี้ เรื่องราวที่ถูกถักทอขึ้นจากคำอธิษฐานนับไม่ถ้วนของผู้คนไร้ชื่อ และประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ยืนหยัดผ่านสงครามและเพลิงไหม้

สิ่งที่หลงเหลืออย่างปาฏิหาริย์จากเถ้าถ่านแห่งมินามิ

อาคารที่ประดิษฐาน "นิชิมุกิ ฟุโดเมียวโอ" (พระฟุโดเมียวโอหันหน้าไปทางตะวันตก)

ประวัติศาสตร์ของวัดโฮเซ็นจิย้อนกลับไปถึงต้นยุคเอโดะ ราวปลายคริสต์ทศวรรษ 1620 ถึงต้น 1630 เดิมทีเป็นวัดที่สร้างขึ้นในอุจิ เกียวโต โดยพระคินุนโบชิ แต่ตามการเปิดเผยผ่านนิมิตของผู้สืบทอดคือพระชูโย เซ็นเนน วัดจึงถูกย้ายมายัง “ดินแดนนานิวะ” ในปีที่ 14 ของยุคคัมเอ (1637) "ตอนนี้มีวัดชื่อโฮเซ็นจิแล้ว แต่คุณต้องย้ายไปที่ดินแดนนานิวะ อยู่ใกล้กับท่าเรือ ทําให้เป็นวัดที่ปกป้องท่าเรือนั้น"

“ตอนนี้มีวัดชื่อโฮเซ็นจิอยู่แล้ว แต่เจ้าจงย้ายมันมาที่ดินแดนนานิวะ ซึ่งอยู่ใกล้ท่าเรือ จงทำให้มันเป็นวัดที่คอยปกปักรักษาท่าเรือนั้น”

ตามคำกล่าวนี้จาก "คงพิระ" เทพผู้คุ้มครองทะเล วัดจึงถูกย้ายมายังโอซาก้า พื้นที่ด้านหน้าวัดต่อมาจึงถูกเรียกว่า "เซ็นนิจิมาเอะ" คำอธิบายที่รู้จักกันทั่วไปคือ ชื่อนี้มาจากพิธีอุทิศส่วนกุศลที่จัดต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1,000 วัน เพื่ออุทิศให้ดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตจากลานประหารใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม รองเจ้าอาวาสคุณคันดะ ได้แชร์ทฤษฎีใหม่เพิ่มเติมว่า

“เมื่อไม่นานมานี้ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนครโอซาก้าได้ศึกษาข้อมูล ดูเหมือนจะมีบันทึกที่ระบุว่า แทนที่จะสวดมนต์ต่อเนื่องกัน 1,000 วัน พวกเขาอาจจัดพิธีรำลึกในทุก ๆ ‘1,000 วัน’ เหมือนเป็นกิจกรรมพิเศษ เรายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อใดถูกต้อง...”

“คงพิระโด” (ศาลเจ้าคงพิระ) ที่ตั้งอยู่ด้านซ้ายของ “นิชิมุกิ ฟุโดเมียวโอ”

ในความเป็นจริง ปัจจุบันมีบันทึกทางประวัติศาสตร์เหลืออยู่น้อยมากที่วัดโฮเซ็นจิ คืนวันที่ 13 ถึง 14 มีนาคม ปี 1945 ระหว่างการทิ้งระเบิดทางอากาศของโอซาก้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่านมินามิทั้งย่านถูกไฟลุกท่วม

“ทุกอย่างถูกไฟไหม้หมด” รองเจ้าอาวาสกล่าว “พระอุโบสถอันยิ่งใหญ่ ซุ้มประตูวัด—ทุกอย่าง สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือพระมิซุคาเคะฟุโดที่เรายังบูชาอยู่ในปัจจุบัน รูปปั้นคงพิระที่อยู่ข้างเคียง และบ่อน้ำที่ใช้ราดน้ำองค์พระเท่านั้น มีเพียงสิ่งเหล่านี้ที่ยังคงอยู่ ผู้คนมักถามเราว่ามีข้อมูลประวัติเพิ่มเติมอีกไหม แต่เราก็ไม่รู้จริง ๆ”

ถัดจากสำนักงานวัด มีศาลเจ้าอินาริขนาดเล็กชื่อโอฮัตสึไดจิน

ในมินามิที่เหลือเพียงเถ้าถ่าน พระฟุโดยังคงยืนอยู่อย่างเดียวดายท่ามกลางซากปรักหักพัง สำหรับผู้ที่สูญเสียทุกสิ่ง รูปเคารพเพียงองค์นี้คงเป็นความหวังครั้งใหญ่ในชีวิต ประวัติศาสตร์หลังสงครามของวัดโฮเซ็นจิเริ่มต้นขึ้นจากพระพุทธรูปปกคลุมมอสองค์นี้ ซึ่งรอดพ้นจากไฟไหม้อย่างปาฏิหาริย์ แม้ว่าตัววัดจะยังไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ทันที ผู้คนก็เริ่มสร้างร้านค้าชั่วคราวบนพื้นที่ของวัด และเปิดร้านต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งกลายเป็นรากฐานของ "โฮเซ็นจิโยโกะโจ" อันคึกคักในปัจจุบัน วัดและชุมชนต่างค้ำจุนซึ่งกันและกันในยุคหลังสงครามอันโหดร้าย เดินเคียงข้างกันสู่การฟื้นฟู

เหตุใดจึงถูกปกคลุมด้วยมอส? คำอธิษฐานของผู้คนที่ฝากไว้กับ "มิซุคาเคะ ฟุโด"

สถานที่ชําระมือและปากก่อนเยี่ยมชมวัด

สถานที่สำหรับล้างมือและปากก่อนเข้าสักการะวัด ผู้ที่มาเยือนวัดโฮเซ็นจิทุกคน มักจะถูกดึงดูดโดยรูปลักษณ์อันโดดเด่นของพระฟุโดเมียวโอ นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศก็เช่นกัน พวกเขามักจะแสดงสีหน้าตกใจ และรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ องค์พระถูกปกคลุมไปทั่วด้วยมอสสีเขียวสดใส ราวกับสวมเสื้อคลุมกำมะหยี่

น่าประหลาดใจที่ว่า การรดน้ำบนองค์พระนี้ ไม่ใช่ประเพณีที่มีมาตั้งแต่ต้น

“เดิมที น้ำคือสิ่งที่ถวายแด่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่ใช้รดใส่พระพุทธรูป” รองเจ้าอาวาสอธิบาย จุดเริ่มต้นของการรดน้ำในปัจจุบันนั้น เริ่มต้นจากคำอธิษฐานอันจริงใจของหญิงสาวคนหนึ่ง

“หญิงคนหนึ่งซึ่งกำลังเผชิญความลำบากในชีวิต บังเอิญมาถึงวัดโฮเซ็นจิจากโชคชะตาอันลึกลับ ทุกวัน เธอยืนอยู่หน้าองค์พระ ประนมมืออธิษฐานด้วยหัวใจทั้งหมด ‘ขอโปรดชี้ทางให้ข้าด้วยเถิด’ คำอธิษฐานของเธอแรงกล้ามาก จนวันหนึ่ง ในความสิ้นหวัง เธอจึงตักน้ำจากถ้วยถวายน้ำ แล้วราดเบา ๆ ที่พระบาทขององค์พระ”

ว่ากันว่านี่คือจุดเริ่มต้นของ "มิซุคาเคะ ฟุโด" เมื่อเวลาผ่านไป การ “รดน้ำ” (มิสึโอ คาเครุ) ก็เริ่มเชื่อมโยงกับการ “ขอพร” (เนไกโอ คาเครุ) ผ่านการเล่นคำ จนกลายเป็นรูปแบบการสักการะในปัจจุบัน ที่ผู้คนใช้กระบวยตักน้ำแล้วราดไปทั่วองค์ฟุโดเมียวโอ สามารถรดน้ำได้ด้วยกระบวยจากบ่อน้ำหน้าองค์พระฟุโดเมียวโอ

สามารถรดน้ำได้ด้วยกระบวยจากบ่อน้ำหน้าองค์พระฟุโดเมียวโอ

แน่นอนว่ามีเสียงวิจารณ์บ้าง เช่น “ปล่อยให้พระพุทธรูปถูกมอสปกคลุมหมดได้อย่างไร?” หรือ “ถ้าหลุมศพถูกมอสปกคลุม เราก็จะทำความสะอาดไม่ใช่หรือ?” รองเจ้าอาวาสก็เข้าใจดี โดยกล่าวว่า “อาตมาเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นเป็นอย่างดี” อย่างไรก็ตาม ที่วัดโฮเซ็นจิ เชื่อกันว่ารูปลักษณ์ที่ปกคลุมด้วยมอสนี้ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

“ลองคิดดูสิ ต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะเป็นเช่นนี้? มีผู้คนมากมายเท่าไรที่มาสวดอธิษฐานที่นี่? มีคำขอพรเท่าไรที่ถูกฝากไว้กับองค์พระ? เมื่อคิดเช่นนั้น เราก็ไม่อาจนำมอสออกได้เลย”

น้ำเสียงของรองเจ้าอาวาสเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก

“อาตมาเชื่อว่าองค์ฟุโดเมียวโอกำลังพูดว่า ‘จงมาอธิษฐานเถิด แม้เจ้าจะราดน้ำใส่ข้า ข้าก็มิได้โกรธ’ พระองค์รับทุกสิ่งไว้ มอสหนานุ่มนี้เป็นเครื่องแสดงออกที่มองเห็นได้ถึงความเมตตาและความกรุณาของพระองค์

เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า พระองค์รับความกังวล ความทุกข์ และคำอธิษฐานของผู้คนมากมายไว้อย่างไร”

แท้จริงแล้ว เสื้อคลุมสีเขียวของมอสนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงแค่ราดน้ำธรรมดา รองเจ้าอาวาสกล่าวพลางหัวเราะว่า “ต่อให้โยมราดน้ำประปาลงบนก้อนหินที่บ้าน ก็ไม่กลายเป็นแบบนี้หรอก”
เชื่อกันว่ามีเงื่อนไขพิเศษ 4 ประการ ที่ต้องรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์เพื่อให้มอสสามารถเติบโตได้อย่างอุดมสมบูรณ์เช่นนี้:

  1. “หินพิเศษ” ที่มอสสามารถเติบโตได้ง่าย
  2. “น้ำจากบ่อ” ที่บริสุทธิ์ ปราศจากคลอรีน
  3. “แสงแดดพอเหมาะ”
  4. “สายลมที่สบาย”

และที่โฮเซ็นจิแห่งนี้ ทั้งสี่เงื่อนไขนั้นได้รวมตัวกันอย่างลงตัว จึงทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นงานศิลปะ ที่ถักทอร่วมกันระหว่างพระเจ้าและธรรมชาติ เดิมที องค์ฟุโดเมียวโอเคยมีใบหน้าที่ “หล่อ” และชัดเจน แต่ปัจจุบัน ใบหน้านั้นไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว ถูกซ่อนอยู่ใต้ชั้นของมอส ซึ่งอุ้มคำอธิษฐานและความปรารถนาของผู้คนนับไม่ถ้วน

ฟื้นจากไฟ—สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างวัดกับตรอก

ตรอก “โฮเซ็นจิโยโกะโจ” ซึ่งอยู่ถัดจากศาลเจ้าอินาริที่ข้างสำนักงานวัด

วัดโฮเซ็นจิและตรอกที่ล้อมรอบ แม้จะรอดพ้นจากสงคราม แต่ก็ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมอีกครั้งในยุคเฮเซ เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ 2 ครั้งในปี 2002 (เฮเซ 14) และ 2003 (เฮเซ 15)

“อย่างที่ทราบกัน ตรอกนี้แคบมาก รถยนต์เข้าได้เพียงคันเดียวแบบเฉียดฉิว แน่นอนว่ารถดับเพลิงเข้าไปไม่ได้เลย มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก”

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถึงสองครั้ง ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างใหม่ ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนั้น ผู้คนในท้องถิ่นและร้านค้าจำนวนมาก ได้รวมพลังกันเพื่อรักษาแสงแห่งวัดประวัติศาสตร์และตรอกอันมีบรรยากาศแห่งนี้ พวกเขาเริ่มแคมเปญรวบรวมลายเซ็น เสียงของพวกเขาทำให้ทางการรู้สึกสะเทือนใจ และมีการนำระบบพิเศษมาใช้เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ทำให้สามารถฟื้นฟูวัดและตรอกได้อย่างน่าอัศจรรย์

“เรามักเตือนกันเสมอว่า ‘อย่าให้เกิดไฟอีก’ และแม้แต่ทุกวันนี้ เรายังคงจัดการฝึกซ้อมดับเพลิงปีละครั้งอย่างไม่ขาดเลยครับ”

ด้านหลังองค์ฟุโดเมียวโอ เคยมีพระอุโบสถหลังใหญ่ก่อนจะถูกเผาเสียหายจากการทิ้งระเบิด และการสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ ก็ยังคงเป็นความปรารถนาอันยาวนาน

ภัยพิบัติกลับกลายเป็นสิ่งที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับผู้คนในตรอกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอย่างย้อนแย้ง รองเจ้าอาวาสคันดะเล่าว่า เมื่อตนยังเด็ก วัดและชุมชนท้องถิ่นยังมีช่องว่างระหว่างกันอยู่บ้าง แต่หลังจากร่วมมือกันฟื้นฟูจากเหตุการณ์ไฟไหม้ และเมื่อไม่นานมานี้คือการก้าวข้ามความยากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19 ความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

ย่านโฮเซ็นจิ ซึ่งเคยเป็นย่านผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยเกอิชาและลูกค้า ถึงขั้นที่ว่า “ไม่เหมาะสำหรับเด็ก” ก็เปลี่ยนไปอย่างมากในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนรุ่นใหม่สามารถมาเยือนกันได้อย่างสบายใจ และเป็นสถานที่ที่ร้านใหม่ ๆ ที่เหมาะแก่การลงอินสตาแกรม อยู่ร่วมกับร้านเก่าแก่ที่ยังรักษาผ้าม่านโนเร็นแบบดั้งเดิม

โดยปกติแล้วการมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ก็นำมาซึ่งปัญหาบางประการ เช่น ขยะ เสียงรบกวน หรือการสูบบุหรี่บนถนน แต่อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณแห่งความร่วมมือในชุมชนยังคงแข็งแกร่ง ทุกคนต่างช่วยกันปกป้องและรักษาสถานที่แสนรักแห่งนี้ไว้

มารยาทและไฮไลต์ในการเพลิดเพลินกับวัดโฮเซ็นจิแบบ 120%

กฎในการสักการะ

แม้ว่าวัดโฮเซ็นจิจะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องเล่า แต่ก็ไม่มีข้อบังคับที่เคร่งครัดในเรื่องวิธีการสักการะ

“ไม่มีลำดับเฉพาะที่โยมต้องทำตาม โปรดอธิษฐานตามแบบฉบับของคุณเองได้เลย” รองเจ้าอาวาสกล่าว หากคุณขอพรเรื่องความสำเร็จทางธุรกิจ หรือความปลอดภัยในการเดินทาง ให้ไปสักการะเทพเจ้าคมปีระ ในอดีต สินค้าเคยถูกขนส่งผ่านแม่น้ำโดทงโบริ และเทพเจ้าคมปีระได้รับการสักการะเพื่ออธิษฐานขอให้การขนส่งปลอดภัยและธุรกิจรุ่งเรือง

หากต้องการขอพรเรื่องความเจริญรุ่งเรืองทางธุรกิจ คุณสามารถไปที่เทพอินาริได้เช่นกัน และสำหรับคำอธิษฐานทุกประเภท ให้ไปที่ฟุโดเมียวโอผู้ทรงพลัง แนวทางของวัดโฮเซ็นจิคือ ให้คุณมองย้อนเข้าไปในใจตนเอง และเริ่มอธิษฐานจากสถานที่ที่คุณรู้สึกว่ามีความหมายที่สุด

วิดีโอแนะนำวิธีสักการะก็มีให้ชมทางช่อง YouTube อย่างเป็นทางการของวัด วิดีโอนี้มีภาษาญี่ปุ่น และมีคำบรรยายภาษาอังกฤษกับภาษาจีนตัวย่อด้วย

มอสบนองค์พระฟุโดเมียวโอจะงดงามที่สุดในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม

หากคุณอยากชมองค์ฟุโดเมียวโอในสภาพที่งดงามที่สุด ขอแนะนำฤดูกาลคือฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิ ช่วงเดือนมกราคมถึงพฤษภาคมเมื่ออากาศปลอดโปร่งและมอสก็สดใส ในทางกลับกัน มอสจะดูเหี่ยวเฉาในฤดูร้อนที่ร้อนจัด “ช่วงนั้น เราอยากให้ทุกคนมาช่วยรดน้ำ” เป็นข้อความเฉพาะตัวจากทางวัด

การเปิดเผยพระพุทธรูปที่ปิดไว้ประจำปี วันที่ 9 และ 10 ตุลาคม

มีโอกาสพิเศษที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ในช่วงเย็นของวันที่ 9 และ 10 ตุลาคม ประมาณหนึ่งชั่วโมง จะมีการเปิดศาลเจ้าเทพเจ้าคมปีระและเปิดให้ชมพระพุทธรูปที่ปกติไม่ได้เปิดเผย ประเพณีใหม่นี้เริ่มขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19 เพื่อ “อธิษฐานขอให้โลกสงบสุข”

พิธีกรรมก่อไฟโกะมะในวันที่ 28 ของทุกเดือน

ในวันที่ 28 ของทุกเดือนตั้งแต่เวลา 19:00 – 20:30 จะมีพิธีกรรมก่อไฟโกะมะสำหรับฟุโดเมียวโอ “มิซุคาเคะ” ในพิธีพุทธศาสนานี้ จะมีการเผาไม้พิเศษที่เรียกว่า “โกะมะงิ” ในเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับการสวดมนต์อธิษฐาน ผู้ที่มาครั้งแรกมักจะรู้สึกประทับใจอย่างลึกซึ้งกับบรรยากาศอันเข้มขลังและเปี่ยมจิตวิญญาณของพิธีนี้

เครื่องราง (โอมะโมริ) และตราประทับ (โกะชุอิน)

ตราประทับโกะชุอิน ราคา 500 เยนต่ออัน
เครื่องรางโอมะโมริ ราคา 1,000 เยนต่ออัน

สิ่งของเหล่านี้สามารถรับได้ที่สำนักงานวัด มีโกะชุอินให้เลือก 4 แบบ และโอมะโมริ 5 แบบ สมุดสะสมโกะชุอิน (ราคา 2,000 เยน) และสติ๊กเกอร์ลายฟุโดเมียวโอ (200 เยนต่อชิ้น) ก็เป็นที่นิยมเช่นกัน

ประสบการณ์อาหารที่รองเจ้าอาวาสแนะนำหลังสักการะ

ภาพปลาปักเป้าใช้เพื่อประกอบบทความเท่านั้น

หลังจากสักการะที่วัดโฮเซ็นจิ อย่าลืมเพลิดเพลินกับร้านอาหารในตรอก “โฮเซ็นจิโยโกะโจ” ข้างวัด เมื่อถามรองเจ้าอาวาสคันดะว่าแนะนำอะไร ท่านกล่าวว่า “ทุกอย่างอร่อยหมดเลย แต่ถ้าจะเลือกสิ่งที่เป็นตัวแทนของโอซาก้าจริง ๆ…” และแนะนำว่า “ต้องอาหารปลาปักเป้า (ฟุกุ)” ในย่านใกล้กับวัด มีร้านอาหารเฉพาะทางปลาปักเป้าคุณภาพดีหลายร้าน และในฤดูหนาว ผู้คนจำนวนมากก็มาเยือนย่านนี้เพื่อลิ้มรสอาหารจานนี้โดยเฉพาะ

เมื่อนึกถึงปลาปักเป้าแล้ว จะนิยมทานแบบซาชิมิหรือน้ำซุปหม้อไฟ แต่เมื่อผู้เขียนบอกว่าเมนูโปรดของตนคือ “ปลาปักเป้าทอด” รองเจ้าอาวาสก็หัวเราะและกล่าวว่า “งั้นก็ให้ปลาปักเป้าทอดเป็นเมนูแนะนำอันดับหนึ่งเลยแล้วกัน”

การลิ้มลองจานนี้เป็นวิธีที่สนุกในการสัมผัสกับวัฒนธรรมอาหารกล้าหาญของชาวโอซาก้า ซึ่งเปิดใจรับอาหารรสเลิศ แม้จะเคยมีชื่อเสียงในเรื่องพิษอันตรายก็ตาม

เปลวไฟแห่งคำอธิษฐานที่ยังคงลุกโชนอยู่กลางเมือง

ภาพของวัดอันมีเอกลักษณ์ ที่ไม่มีรั้วหรือกำแพ้ล้อมรอบ แต่ตั้งอยู่กลางถนน

วัดโฮเซ็นจิไม่ใช่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวหรือวัดเก่าแก่ แต่คือ “สถานที่มีชีวิต” ที่ลุกขึ้นจากความสิ้นหวังของเหตุการณ์ทิ้งระเบิดในโอซาก้า ผ่านไฟไหม้ครั้งใหญ่สองครั้ง และรับฟังความสุขและทุกข์ของผู้คนทุกยุคทุกสมัย ขณะเดียวกันก็เติบโตเคียงข้างกับเมือง

องค์ฟุโดเมียวโอที่ถูกปกคลุมด้วยมอส ยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง ราวกับว่ากำลังพูดกับเรา ถูกสร้างขึ้นโดยกาลเวลาและคำอธิษฐานนับไม่ถ้วน กลายเป็นอนุสาวรีย์อันยิ่งใหญ่แห่งความหวังและความอดทนของมนุษย์

คราวหน้า หากคุณมาเยือนโอซาก้า ทำไมไม่ลองหลีกหนีจากความคึกคักของโดทงโบริสักครู่ แล้วแวะที่วัดแห่งนี้ดูบ้าง เมื่อคุณเดินผ่านตรอกหินที่เย็นสบาย มายืนหน้าองค์ฟุโดเมียวโอที่ปกคลุมด้วยมอส ราดน้ำด้วยกระบวยเบา ๆ แล้วหลับตา คุณอาจจะได้ยิน เสียงลมหายใจอันเงียบสงบแต่ทรงพลัง ของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองนี้ และมอบคำอธิษฐานไว้ ณ สถานที่แห่งนี้…

การเยือนวัดโฮเซ็นจิของคุณจะกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่มีวันลืมจากการเดินทางของคุณแน่นอน

วัดโฮเซ็นจิ (เท็นริวซัง โฮเซ็นจิ) นิกายโจโด

  • ที่อยู่: 1-2-16 นัมบะ เขตชูโอ เมืองโอซาก้า จังหวัดโอซาก้า
  • เวลาสักการะ: 24 ชั่วโมง (เวลาทำการของสำนักงาน: 10:00–18:00)
  • การเดินทาง: เดิน 1 นาทีจากสถานี Namba ทางออก B16 ของ Namba Walk หรือเดิน 1 นาทีจากสถานี Nipponbashi ทางออก B18 ของ Namba Walk
  • เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ: https://houzenji.jp/

หัวข้อเรื่อง

Survey[แบบสอบถาม] กรุณาบอกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น







Recommend