【วัฒนธรรมญี่ปุ่น】สิ่งที่ควรรู้ไว้เมื่อจะไปเพลิดเพลินกับน้ำพุร้อนออนเซ็นในญี่ปุ่น

  • 18 พฤษภาคม 2022
  • 14 กุมภาพันธ์ 2023
  • 下町貴族(Shitamachi Kizoku)
  • Mon

【วัฒนธรรมญี่ปุ่น】สิ่งที่ควรรู้ไว้เมื่อจะไปเพลิดเพลินกับน้ำพุร้อนออนเซ็นในญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นเป็นประเทศมหาอำนาจแห่งน้ำพุร้อน โดยมีน้ำพุร้อนประมาณ 3,000 แห่งทั่วประเทศ และสามารถไปเพลิดเพลินกับน้ำพุร้อนได้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นค่ะ อย่างไรก็ตาม มีกฎบางอย่างที่ต้องปฏิบัติตามเมื่อเข้าไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อน ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามกฎให้ดีเวลาที่ไปเพลิดเพลินกับน้ำพุร้อนของญี่ปุ่นนะคะ

วัฒนธรรมน้ำพุร้อนออนเซ็นของญี่ปุ่น

วัฒนธรรมน้ำพุร้อนออนเซ็นของญี่ปุ่น

เนื่องจากญี่ปุ่นตั้งอยู่ในเขตรอยเลื่อนของแผ่นทวีปและมีภูเขาไฟหลายแห่ง จึงมีน้ำพุร้อนหลายแห่งไปด้วยค่ะ ตามประกาศของกระทรวงสิ่งแวดล้อมในปี ค.ศ. 2021 ในญี่ปุ่นมีพื้นที่แหล่งน้ำพุร้อนประมาณ 3,000 แห่ง และมีตาน้ำพุร้อนทั้งหมดประมาณ 28,000 แห่ง ทำให้พอจะมองได้ว่าญี่ปุ่นมีบ่อน้ำพุร้อนแทบทุกแห่งหนเลยค่ะ

มีตำนานเล่าว่าเทพเจ้าและสัตว์ต่าง ๆ ได้มาที่น้ำพุร้อนเพื่อแช่ตัวรักษาบาดแผล และมีบันทึกมากมายที่ขุนศึกสมัยเซ็นโกคุไปที่น้ำพุร้อนเพื่อรับรักษาตัว "วัฒนธรรมโทจิ" (湯治文化 / toji bunka วัฒนธรรมการรักษาบำบัดด้วยน้ำร้อน) ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวค่ะ

"โทจิ" (湯治 / Toji) คือการทำสปาบำบัดที่ปกติจะกินเวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ กล่าวกันว่าน้ำพุร้อนสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุสารประกอบในน้ำร้อนนั้น ๆ ในสมัยเอโดะ โทจิหรือการทำสปาบำบัดดังกล่าวเริ่มเป็นที่นิยม ชาวนาก็ใช้วิธีนี้เพื่อบำบัดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทั้งสะสมมาทั้งปีในช่วงเวลาที่ไม่มีงานด้านการเกษตรให้ทำกันค่ะ

ในยุคเมจิ การวิจัยทางการแพทย์ได้ยืนยันถึงประสิทธิภาพของน้ำพุร้อน และจำนวนผู้ใช้น้ำพุร้อนก็เพิ่มขึ้นอีก ปัจจุบัน ออนเซ็นหรือบ่อน้ำพุร้อนก็มีความหมายเหมือนกันกับการพักผ่อนและความบันเทิงไปโดยปริยายค่ะ

ประเภทของน้ำพุร้อนในญี่ปุ่น

ประเภทของน้ำพุร้อนในญี่ปุ่น

สีและกลิ่นของน้ำพุร้อนจะแตกต่างกันไปตามแร่ธาตสารประกอบภายในน้ำพุร้อน สมาคมบ่อน้ำพุร้อนแห่งประเทศญี่ปุ่นได้จำแนกประเภทน้ำพุร้อนของญี่ปุ่นออกเป็น 10 ประเภทตามแร่ธาตุและสารประกอบดังต่อไปนี้ค่ะ

  1. น้ำพุร้อนธรรมดา (単純温泉 / Simple Spring) ตัวอย่าง: เกโระออนเซ็น (จังหวัดกิฟุ)
  2. น้ำพุร้อนคลอไรด์ (塩化物泉 / Cloride Spring) ตัวอย่าง: อาตามิออนเซ็น (จังหวัดชิสุโอกะ))
  3. น้ำพุร้อนคาร์บอเนต (炭酸水素塩泉 / Carbonated Spring) ตัวอย่าง: คาวายุออนเซ็น (จังหวัดวาคายามะ)
  4. น้ำพุร้อนซัลเฟต (硫酸塩泉 / Sulphated Spring) ตัวอย่าง: โฮชิออนเซ็น (จังหวัดกุนมะ)
  5. น้ำพุร้อนคาร์บอนไดออกไซด์ (二酸化炭素泉 / Carbon Dioxide Spring) ตัวอย่าง: ฮิจิริออนเซ็น (จังหวัดยามากาตะ)
  6. น้ำพุร้อนโลหะ (含鉄泉 / Ferruginous Spring) ตัวอย่าง: อาริมะออนเซ็น (จังหวัดเฮียวโงะ)
  7. น้ำพุร้อนกรด (酸性泉 / Acidic Spring) ตัวอย่าง: ทามากาวะออนเซ็น (จังหวัดอาคิตะ)
  8. น้ำพุร้อนผสมไอโอดีน (含よう素泉 / Iodine-containing Spring) ตัวอย่าง: มาเอะโนฮาระออนเซ็น (มหานครโตเกียว)
  9. น้ำพุร้อนกำมะถัน (硫黄泉 / Sulphur Spring) ตัวอย่าง: นิกโก้ยุโมโตะออนเซ็น (จังหวัดโทจิงิ)
  10. น้ำพุร้อนกัมมันตรังสี (放射能泉 / Radioactive Spring) ตัวอย่าง: มิซาสะออนเซ็น (จังหวัดทตโตริ)

วิธีเพลิดเพลินไปกับน้ำพุร้อน

วิธีเพลิดเพลินไปกับน้ำพุร้อน

หลายคนเลือกทริปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน (温泉旅行 / onsen ryokouเพื่อเพลิดเพลินกับบ่อน้ำพุร้อน บ่อน้ำพุร้อนหลายแห่งในญี่ปุ่นตั้งอยู่ในภูเขาซึ่งไม่สะดวกต่อการคมนาคม หากคุณเยี่ยมชมพื้นที่แหล่งน้ำพุร้อน ก็ควรพักค้างคืนและเพลิดเพลินกับน้ำพุร้อนอย่างสบาย ๆ ค่ะ ที่พักส่วนใหญ่ในพื้นที่บ่อน้ำพุร้อนเป็นโรงแรมขนาดเล็กแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมหรือโรงแรมหรู ซึ่งทั้งสองแบบก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากค่ะ เดิมที บริเวณพื้นที่แหล่งน้ำพุร้อนนั้นมีร้านอาหารเพียงไม่กี่แห่งที่เปิดให้บริการหลังพระอาทิตย์ตกดิน ผู้คนจำนวนมากที่มาเยือนบริเวณบ่อน้ำพุร้อนจึงเลือกแผนการเข้าพักแบบหนึ่งคืนพร้อมอาหารสองมื้อ โดยปกติแผนนี้มีค่าใช้จ่าย 10,000 เยนขึ้นไปต่อคน แต่ก็สามารถรับบริการที่เลิศเลอเหมาะสมกับราคาที่จ่ายไปได้ด้วยค่ะ

หากคุณต้องการแช่ออนเซ็นแต่ไม่ได้วางแผนที่จะพัก เราขอแนะนำบ่อน้ำพุร้อนแบบไปกลับวันเดียว (日帰り温泉 / higaeri onsen) สำหรับบ่อน้ำพุร้อนไปกลับวันเดียว คุณสามารถไปใช้บริการบ่อน้ำพุร้อนได้ครั้งละประมาณ 500 ถึง 1,000 เยน อย่างไรก็ตาม ก็มีการจำกัดเวลาการใช้งาน และโรงแรมบางแห่งไม่รับนักท่องเที่ยวแบบไปกลับวันเดียวโดยไม่ค้างคืนด้วย ดังนั้นการตรวจสอบข้อมูลล่วงหน้าก่อนจึงเป็นสิ่งสำคัญค่ะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้จำนวนสถานให้บริการน้ำพุร้อนได้เพิ่มขึ้นมากมายในเขตเมืองใหญ่ มีลักษณะเหมือนสวนสนุกน้ำพุร้อนมากกว่าออนเซ็นเลยค่ะ ตัวอย่างเช่น "Oedo Onsen Monogatari" เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่เปิดให้บริการไม่จำกัดเวลา นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร มุมนวด นิตยสารและมังงะ และห้องพักผ่อนภายในตัว คุณจึงสามารถเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวัน ค่าเข้าชมสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 1,500 ถึง 2,000 เยน (ไม่รวมอาหาร) และมีความคุ้มค่าสูง และในปัจจุบันก็ยังมีผู้ใช้บริการจำนวนมากอีกด้วยค่ะ

ข้อควรระวัง ณ ออนเซ็นของญี่ปุ่น

ข้อควรระวัง ณ ออนเซ็นของญี่ปุ่น

กฎสำหรับการแช่ในน้ำพุร้อนจะเหมือนกันไม่ว่าคุณจะอยู่ในพื้นที่แหล่งน้ำพุร้อนหรืออ่างน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ก็ตามค่ะ

  1. กรุณาหลีกเลี่ยงการอาบน้ำก่อนอาหาร หลังอาหาร และทันทีหลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากคุณอาบน้ำก่อนอาหาร ให้กินขนมรองท้องเพื่อไม่ให้แช่น้ำในตอนที่ท้องยังว่างอยู่ค่ะ
  2. หลีกเลี่ยงการอาบน้ำคนเดียวสำหรับผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือในการเคลื่อนที่ กรุณาอย่าวิ่งในพื้นที่อาบน้ำที่ลื่น
  3. ก่อนลงแช่ในน้ำพุร้อน กรุณาชำระล้างร่างกายให้สะอาดด้วยสบู่อาบน้ำ
  4. ก่อนลงแช่ในน้ำพุร้อน ตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำพุร้อนด้วยผิวของคุณเองโดยใช้น้ำร้อนปริมาณเล็กน้อย
  5. เวลาที่ลงแช่ในน้ำพุร้อนหรือเวลาออกจากอ่างน้ำพุร้อน กรุณาอย่าส่งเสียงดัง
  6. กรุณาอย่านำผ้าเช็ดตัวเข้าไปแช่ในอ่างอาบน้ำ
  7. ไม่จำเป็นต้องชำระล้างร่างกายด้วยน้ำเปล่าหลังแช่น้ำพุร้อน (ยกเว้นกรณีที่คุณมีผิวแพ้ง่าย)
  8. กรุณาดื่มน้ำเยอะ ๆ หลังแช่น้ำพุร้อนเสร็จแล้ว

คนที่มีรอยสักสามารถไปแช่น้ำพุร้อนได้หรือไม่?

คนที่มีรอยสักสามารถไปแช่น้ำพุร้อนได้หรือไม่?

คำตอบคือได้ แต่คุณไม่สามารถไปใช้อ่างอาบน้ำสาธารณะที่หลายคนใช้ร่วมกันได้ กรุณาใช้ "ห้องส่วนตัวแบบเช่าเหมาทั้งห้อง" (貸切個室 / kashikiri koshitsu) แทนค่ะ

ในญี่ปุ่นไม่มีกฎหมายที่ห้ามผู้ที่มีรอยสักอาบน้ำในบ่อน้ำพุร้อนอย่างชัดเจน แต่ความจำฝังใจในอดีตที่ว่าคนจำนวนมากที่มีรอยสักมักจะความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอันธพาลหัวรุนแรงยังคงหลงเหลืออยู่ในสายตาคนญี่ปุ่น และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว เรียวกังและโรงแรมบ่อน้ำพุร้อนบางแห่งที่มีอ่างน้ำพุร้อนขนาดใหญ่ใช้ร่วมกันจึงได้ตัดสินใจที่จะไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีรอยสักเข้าใช้บริการค่ะ

หากผู้ที่มีรอยสักต้องการที่จะแช่น้ำพุร้อน ก็จะต้องเช่า "ห้องส่วนตัวแบบเช้าเหมาทั้งห้อง" ที่แยกต่างหากเพื่อไม่ให้พบเจอหรือใช้พื้นที่ร่วมกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ตนเองหรือเพื่อนที่มาด้วยกัน หากทำเช่นนี้ คุณก็จะไม่ถูกปฏิเสธการรับเข้าไปแช้น้ำพุร้อนเป็นแน่ค่ะ

สถานอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างเช่น Oedo Onsen Monogatari ก็ห้ามผู้มีรอยสักเข้าไปแช่ แต่เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ผู้คนจำนวนมากที่มีรอยสักศิลปะเล็ก ๆ บนร่างกายก็เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเพื่อให้ผู้คนเหล่านี้สามารถไปเพลิดเพลินกับน้ำพุร้อนได้ สถานอำนวยความสะดวกด้านน้ำพุร้อนหลายแห่งก็มีการเสนอแผ่นซีลปิดรอยสักสีผิวเพื่อให้คนเหล่านั้นสามารถซ่อนรอยสักและใช้บริการได้ตามปกติค่ะ

เกี่ยวกับการแช่น้ำแบบรวม

เกี่ยวกับการแช่น้ำรวมชายหญิง

การที่ชายและหญิงสามารถเข้าแช่ในอ่างน้ำพุร้อนเดียวกันได้นั้นเรียกวา "การแช่น้ำแบบรวม" (混浴 / kon-yoku) ซึ่งก็เป็นวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยังคงมีการแช่น้ำแบบรวม แต่ส่วนใหญ่เปิดให้บริการมา 300 ปีแล้ว อย่างเช่นสุกะยุออนเซ็นในจังหวัดอาโอโมริเป็นต้นค่ะ

ความซบเซาของการแช่น้ำรวมนั้น นอกจากจะเป็นเพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงจิตสำนึกเกี่ยวกับการเปิดเผยผิวพรรณให้เพศตรงข้ามเห็นและการที่มีกฎหมายห้ามไว้อย่างชัดเจนแล้ว ยังเชื่อกันว่ามีสาเหตุมาจากการเพิ่มจำนวนของกลุ่มผู้ชายที่เรียกกันว่า วานิ (ワニ / wani จระเข้) ซึ่งมักจะแฝงตัวอยู่ในน้ำและแอบเข้าใกล้ผู้หญิงอย่างเงียบ ๆ ทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นในปัจจุบันนี้ถึงแม้จะยังมีการแช่น้ำรวม แต่ส่วนใหญ่ผู้ใช้บริการจะมีแต่ผู้ชายเท่านั้นค่ะ

เพื่อรักษาวัฒนธรรมการแช่น้ำรวมเอาไว้ สถานอำนวยความสะดวกบางแห่ง เช่นสุกะยุออนเซ็นและฟุโรฟุชิออนเซ็นในจังหวัดอาโอโมริ ก็อนุญาตให้ผู้หญิงสามารถแช่น้ำร้อนโดยสวมใส่ชุดที่ทางสถานอำนวยความสะดวกจัดเตรียมไว้ให้ได้ค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

หัวข้อเรื่อง

Survey[แบบสอบถาม] กรุณาบอกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น







Recommend