เรื่องราวลี้ลับและสยองขวัญ ตอนที่ 37: เรื่องสยองตามเน็ตเกี่ยวกับ "วิญญาณคนเป็น"

  • 2 ตุลาคม 2020
  • Mon

เรื่องราวลี้ลับและสยองขวัญ ตอนที่ 37: เรื่องสยองตามเน็ตเกี่ยวกับ

ที่ญี่ปุ่น ปรากฏการณ์ประหลาดหลายอย่างถูกจัดว่า “มีต้นเหตุมาจากวิญญาณคนเป็น” (生霊 / Ikiryo) ซึ่งเหมือนจะมีเฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ปรากฏการณ์บางอย่างก็พบเจอที่ต่างประเทศได้ เพียงแค่อาจไม่ถูกมองว่ามีสาเหตุมาจากวิญญาณของคนที่ยังไม่ตายเท่านั้นเอง

ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่อาจมีสาเหตุมาจากวิญญาณคนเป็นได้ ก็ได้แก่

  • รูปถ่ายติดวิญญาณ
  • doppelgänger
  • อาการป่วยบางอย่าง
  • ฝันร้าย
  • รู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง

วิญญาณคนเป็นในญี่ปุ่น มีถูกบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยเฮอันครับ อย่างเช่นในเรื่อง ตำนานเก็นจิ (源氏物語 / The Tale of Genji) ก็มีตอนหนึ่งกล่าวถึงผู้หญิงคนหนึ่งในเรื่องคิดอาฆาตคนอื่นมาก พอหลับก็ถอดจิตไปรังควานจนทำให้อีกฝ่ายตาย

เรื่องของโรคุโรคุบิ ろくろ首 (rokurokubi) ก็เชื่อกันว่าเป็นการถอดจิตแบบไม่สมบูรณ์จึงเหมือนถอดไปแค่ส่วนหัว ซึ่งบางส่วนก็เชื่อว่าเป็นเพราะโรคร้ายชนิดหนึ่งที่ทำให้จิตหลุดออกจากร่างง่ายขึ้นครับ บ้างก็เป็นเพราะการทำคุณไสยโดยไม่มีสื่อ (ถ้าเป็นที่ไทยคือเลี้ยงผีไว้แล้วใช้ผีเป็นสื่อ) จึงแลกด้วยวิญญาณตัวเอง กลายเป็นวิญญาณร้ายเวลาหลับ หรือการคิดอาฆาตพยาบาทโดยมีความสามารถในการแบ่งภาคขวัญของตัวเองออกไปโดยไม่รู้ตัว หรือด้วยความเป็นเจ้ากรรมนายเวรครับ...

ในคราวที่แล้วผมได้กล่าวถึงเรื่องวิญญาณคนเป็นในรูปแบบเจ้ากรรมนายเวรที่ฝ่ายถูกกระทำสาปแช่งฝ่ายกระทำกันไปแล้ว วันนี้มาดูเรื่องสยองที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบอื่นกันสักเรื่องก็แล้วกันครับ

รุ่นพี่

รุ่นพี่

เรื่องอาจจะยาวไปหน่อยนะคะ แต่ฉันอยากจะพูดถึงประสบการณ์ตรงที่พบเจอมาเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งก็ยังจำฝังใจไม่รู้ลืมค่ะ

ตอนนั้นฉันเป็นพนักงานขายรองเท้าผู้หญิงที่ห้างสรรพสินค้าแถวบ้าน
วันนั้นเป็นช่วงบ่ายที่เงียบสงบของวันธรรมดาที่ไม่มีการขายลดราคาหรือจัดงานพิเศษอะไร
ลูกค้าก็มาแบบขาด ๆ หาย ๆ ตอนนั้นฉันจึงนำสินค้าออกมาจัดวางในเวลาว่างค่ะ

แล้วจากหน้ากระจกเต็มตัวที่ลูกค้าใช้ลองเวลารองเท้า
ฉันได้สบตากับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เป็นช่วงเวลาเพียง 1-2 วินาทีเท่านั้น
หญิงคนนั้นไม่ได้กำลังดูรองเท้าหรือเดินผ่านไปอะไรเลยค่ะ แต่กลับมายืนตรงทางเดินหน้าแผนกรองเท้า และหันมาทางฉันด้วยสายตาเหมือนจ้องมองอะไรบางอย่างเบา ๆ
รับรู้ถึงความรู้สึกหงุดหงิดประมาณว่า "ฉันมาในฐานะลูกค้าแล้ว สนใจหน่อยสิ!" ฉันเลยหันกลับมาอย่างเร่งรีบและพูดออกไปว่า "ยินดีต้อนรับค่ะ"
กระนั้น กลับไม่พบผู้หญิงคนดังกล่าว ณ จุดที่เห็นเธอยืนอยู่ก่อนหน้านี้

หือ? ฉันแอบสงสัยพลางรีบไปที่ทางเดิน แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ปกติแล้วก็คงคิดว่าคงจะเดินไปที่แผนกขายของที่อยู่ถัดไปกันสินะคะ
ฉันเองก็แอบมองเข้าไปในแผนกขายของทั้งสองด้านอย่างลับ ๆ
อย่างไรก็ดี ก็เห็นเพียงพนักงานขายคนอื่น ๆ กำลังวางสินค้าและจัดระเบียบสินค้า ไม่เห็นแม้แต่เงาของลูกค้าคนนั้นเลยค่ะ
แผนกรองเท้าที่ฉันทำงานอยู่นั้นอยู่ตรงหัวมุมของชั้นหนึ่ง
จากทำเลที่ตั้งแล้ว ก็สามารถมองเห็นลูกค้าในแผนกขายที่อยู่ติดกันทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจนค่ะ

แถมด้านหน้าแผนกขายของชั้นยังมีห้องโถงใหญ่และพื้นที่พักผ่อนขนาดใหญ่
ประกอบกับมุมมองที่ชัดเจนของทางเดินที่โล่งกว้าง ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ในระยะไกล
ต่อให้วิ่งสุดชีวิตไปยังจุดอับของชั้นนี้ การจะไปซ่อนตัวแบบมองไม่เห็นเลยก็คงเป็นไปได้ยาก
ฉันใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาทีในการหันกลับไปหาลูกค้าคนนั้นและออกไปดูที่ทางเดิน ดังนั้นการที่ไม่เห็นผู้หญิงคนดังกล่าวเลยในระยะสายตาจากทำเลนั้นเลยก็เป็นเรื่องที่แปลกมากค่ะ

ฉันแอบสงสัยว่าเห็นภาพลวงตารึเปล่าไปครู่หนึ่ง แต่ภาพของผู้หญิงคนนั้นที่เห็นในกระจกนั้นชัดเจนเกินกว่าจะเป็นภาพลวงตาค่ะ
ตรงทางเดินก็ไม่มีอะไรที่อาจจะมองเห็นแล้วเข้าใจผิดว่าเป็นคนได้เลยด้วย
ระหว่างที่กลับไปที่แผนกขาย ฉันก็แอบสงสัยว่า “นี่คือ(ผี)ที่ร่ำลือกันว่าโผล่มาให้เห็นรึเปล่านะ"

ห้างสรรพสินค้าที่ฉันทำงานอยู่นั้นมีชื่อเสียงในบรรดาเหล่าพนักงานมานานแล้วว่า "มีผีโผล่มาให้เห็น" และยังเป็นสถานที่ที่มีลูกค้าหลายคนมาโดดตึกฆ่าตัวตายจากดาดฟ้า ฉันเลยแอบคิดว่าถ้ามีโผล่มาให้เห็นก็คงไม่แปลกหรอกมั้ง
อย่างไรก็ดี ฉันมีเพื่อนร่วมงานที่กลัวเรื่องผี ฉันจึงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ใครฟังและตรงกลับบ้านหลังเลิกงานค่ะ

หลังจากกลับถึงบ้าน ฉันก็รีบเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ทำงานไปเล่าให้แม่ฟังสั้น ๆ
แม่ก็ทำงานบ้านไปพลางและถามกลับมาว่า "น่ากลัวเนอะ แล้วผีที่เห็น รูปร่างหน้าตาเป็นยังไงล่ะ"
"ก็... ตัวเตี้ยกว่าหนูประมาณ 15 เซ็นค่ะ ส่วนผมก็สั้นประมาณประบ่า ผมสีน้ำตาลอ่อนดัดแบบไม่หยิกมาก..."
ระหว่างที่ฉันอธิบายระหว่างที่นั่งนึกถึงรูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนั้น แม่ของฉันก็หยุดกึก
"สวมชุดวันพีซถักสีเหลืองอมเขียวเข้ม แบบรัดรูปหน่อย ๆ คอสูงเล็กน้อย สวมกางเกงรัดรูปสีเทา เป็นผู้หญิงที่ขาเรียวแต่ตรงหน้าท้องออกอวบ อายุน่าจะมากกว่าแม่หน่อย แต่ก็แต่งตัวดูดีมีแฟชั่น แล้วก็จ้องมองหนูเบา ๆ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ค่ะ"
เมื่อฉันพูดจบ แม่ก็หน้านิ่งเหมือนตกใจอะไรอยู่

"นั่นน่ะ อาจเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานของแม่นะ"
แม่บอกมาแนวนี้ ฉันจึงหัวเราะและตอบออกไปโดยไม่คิดว่า
ไม่น่าจะใช่หรอกมั้งคะ ช่วงนี้ไม่มีรุ่นพี่เพิ่งเสียไปนี่คะ อย่าไปพูดว่าใครเป็นผีดีกว่ามั้ยคะ
แต่แม่ของฉันก็ตัดมับทด้วยสีหน้าอันพิศวง
"แม่ก็มีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกลูกน่ะ ลูกจำได้ไหม ที่แม่เคยมาปรึกษาเรื่องที่อยากจะลาออกจากที่ทำงานที่ทำอยู่ตอนนี้น่ะ"
ฉันพยักหน้า

ถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณเมื่อเดือนก่อน จำได้ว่าแม่เคยมาปรึกษาเรื่องจะลาออกจากที่ทำงาน
เนื้อหาประมาณว่า แม่มีเรื่องไม่ดีกับรุ่นพี่คนหนึ่งในที่ทำงาน แต่ก็อยากจะลาออกโดยไม่ต้องมีเรื่องทะเลาะกัน เลยสงสัยว่ามีเหตุผลอะไรดี ๆ ไปอ้างมั้ย
อนึ่ง แม่ก็เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่กะจะใช้เรื่องที่ว่าสถานที่ทำงานอยู่ห่างไกลและเป็นคนไม่ขับรถจึงลำบากเป็นเหตุผลในการลาออก เจ้านายและรุ่นพี่ก็รบเร้าให้ทำงานต่ออยู่ดี
แม่ที่กำลังกลุ้มใจและมองหาเหตุผลอื่นมาใช้ ฉันก็แนะนำไปแบบไม่ได้คิดอะไรมากว่า
ก็ลองบอกไปประมาณว่า ลูกสาวชอบมารบเร้าให้มาทำงานใกล้ ๆ บ้านบ่อย ๆ จนทนไม่ไหว เดี๋ยวก็คงจะยอมให้เลิกทำแหละมั้งคะ?

วันถัดมา แม่ก็ไปบอกเจ้านายด้วยเหตุผลตามที่ฉันแนะนำ เจ้านายก็ลังเลแต่ก็รับเรื่องที่จะลาออกแต่โดยดี แต่รุ่นพี่ของแม่กลับมาถามอย่างน่าฉงนว่า "ลูกสาวเธอเนี่ย ทำงานที่ไหนเหรอจ๊ะ?"
"แล้วแม่ก็ดันเผลอบอกไปว่า ก็ที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านน่ะค่ะ... เพราะงั้นเค้าถึงตามไปดูแน่เลย..."
แม่มีสีหน้าซีดเซียว
ที่แม่บอกว่ามีเรื่องไม่ดีกับรุ่นพี่น่ะ จริง ๆ แล้วเพราะมันมีเรื่องน่าขนลุกน่ะ
เรื่องที่แม่เล่าให้ฟังก็มีดังนี้

  • เนื่องจากทำงานในสถานที่ที่อยู่ไกลจากกัน จึงไม่อาจจะมองเห็นอีกฝ่ายได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับรู้ดีถึงรายละเอียดของงานทางฝั่งแม่
  • ดูเหมือนจะรู้ถึงขั้นตอนการทำงานของอื่นเป็นอย่างดี พอแม่ลองเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานเพื่อเป็นการทดสอบ ก็ถูกถามในวันนั้นเลยว่า "ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานล่ะ?"
  • ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ามีตู้เก็บรองเท้าของพนักงาน บังเอิญแม่เผลอไปใช้ตู้อื่นที่ไม่ใช่ตู้ประจำในวันที่รุ่นพี่คนนั้นหยุดงาน วันถัดมาก็มาถามว่า "ตู้อันนี้ ใช้ง่ายกว่าอันที่ใช้ประจำเหรอ?" พร้อมชี้ไปยังบริเวณตู้ที่แม่เพิ่งใช้ไปเมื่อวาน เป็นต้น

ทีแรกแม่ก็คิดแค่ประมาณว่า หือ? ทำไมรู้เรื่องอย่างนั้นได้ล่ะ?
แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ค่อย ๆ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่รุ่นพี่เอามาเล่าให้ฟังอย่างรู้ลึกราวกับ "ดูอยู่นะ"
บริษัทของแม่จะจัดสรรพนักงานไปประจำที่ต่าง ๆ ด้วยระบบผลัดเวรกันน่ะ ไม่ว่าจะโดนให้ไปทำที่ไหน ก็ยุ่งจนไม่มีเวลาว่างเลยแหละ คงไม่มีเวลาไปแอบดูงานของคนอื่นได้หรอก แถมถ้ามาแอบดูจริงก็จะโดนฟ้องว่าโดดงานด้วยซ้ำ
แม่เล่าให้ฟัง

รุ่นพี่

แม่บอกว่า เนื่องจากพนักงานทุกคนเป็นแม่ที่ดูแลงานบ้านให้สามี ทุกคนจึงรีบเดินทางกลับบ้าน และหลังจากรายงานการทำงานประจำวันง่าย ๆ เสร็จก็จะตรงกลับบ้านทันทีโดยไม่พูดคุยหรือนัดสังสรรค์กัน ดังนั้นต่อให้ไปถามจากคนรอบข้างก็ดูจะเป็นเรื่องแปลกอยู่ดี
"ก็ใช่ว่าจะมีพิษมีภัยอะไร ก็เลยปล่อยไว้อย่างนั้นไปน่ะ แต่เมื่อวันก่อน..."
เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้แม่เริ่มจะไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในตัวรุ่นพี่คนนี้อย่างเด็ดขาด
"พอเปลี่ยนชุดเสร็จและกำลังจะกลับบ้าน รุ่นพี่ก็ตะคอกใส่แม่ว่า 'นี่เอาของอะไรใส่ไว้ในกระเป๋าน่ะ!' แม่ก็ไม่เข้าใจเรื่องราวจึงถามไป รุ่นพี่ก็ตอบว่า 'ในช่องเก็บของที่กระเป๋าถือ ใส่อะไรอันตรายเอาไว้ใช่มั้ย!' หางตาของรุ่นพี่เริ่มชี้ขึ้น 'ก็มีแค่บัตรรถไฟประจำกับทิชชู่พกธรรมดานี่คะ? มีปัญหาอะไรรึเปล่า?' แล้วพอนำบัตรรถไฟประจำออกมาให้ดู รุ่นพี่ก็กลับโกรธมากขึ้นและพูดว่า 'ไม่ใช่! ช่องข้างในกระเป๋าถือต่างหาก!!' แล้วแกก็เดินดุ่มออกไปจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเฉย ๆ เลย"
ก็ไม่ได้พกอะไรที่น่าจะทำให้ต้องโกรธมาซะหน่อย! แม่แอบคิดในใจ แต่พอตรวจสอบช่องเก็บของด้านในของกระเป๋า ก็พบว่า ข้างในเป็นเครื่องรางที่พกติดตัวมานานแล้ว
แถมยังเป็นเครื่องรางปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายด้วย

อ่า อยู่ห่าง ๆ รุ่นพี่คนนี้ไว้ดีกว่า แม่ของฉันก็ตัดสินใจชัดเจนในตอนนั้นเอง
ในบริษัทส่วนใหญ่ ตู้ล็อคเกอร์ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสามารถล็อคกุญแจเพื่อความเป็นส่วนตัวได้
โดยปกติ ที่ทำงานของแม่ก็มีการล็อคกุญแจตู้ล็อคเกอร์เช่นกัน
แม่ไม่เคยลืมที่จะล็อคตู้ และก็จำได้ว่าไม่เคยเอาของในกระเป๋าให้รุ่นพี่ดู
แล้วรุ่นพี่รู้ได้ยังไงว่ามีเครื่องรางอยู่ในนั้น?

"แม่ก็เคยคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรสักอย่าง แต่ยังไงมันก็น่าขนลุกแหละ... จะเกลียดจะกลัวเครื่องรางมากมายอะไรขนาดนั้นนี่ คงไม่ธรรมดาแล้วใช่มั้ยล่ะ? วันถัดมา รุ่นพี่ก็ปั้นหน้ายิ้มมาแล้วก็พูดว่า 'เมื่อวานขอโทษทีนะจ๊ะ ที่บ้านเธอนี่ นับถือวัดไหนเหรอ?' น่ากลัวสุด ๆ เลยใช่มั้ยละ แต่การจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนคนนี้ ก็ลำบากหน่อยแต่ก็คงต้องลาออกเท่านั้นใช่มั้ยล่ะ?"

ก็จริงนะ ฉันเองก็คิดว่า ถ้าอยากจะตัดความสัมพันธ์กับรุ่นพี่ที่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงแบบนี้ คงต้องลาออกเท่านั้น
แต่ยังไง ตอนนั้นฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องตามมาดูที่ห้างสรรพสินค้าที่ฉันทำงานอยู่

นับตั้งแต่ที่แม่เผลอบอกเรื่องลูกไปตอนที่ไปแจ้งเรื่องลาออก รุ่นพี่คนนี้แกก็มาตื้อถามเป็นประจำว่า 'ลูกสาวของเธอเป็นคนแบบไหนเหรอ? ทำงานอะไรอยู่เหรอ?' แม่ก็ไม่รู้นะว่าทำไมจู่ ๆ ถึงมาสนใจลูก แต่รูร่างหน้าตาของผู้หญิงที่ลูกเล่ามาเมื่อกี้นี้ ตรงกับรุ่นพี่ของแม่เป๊ะ ๆ เลย เสื้อผ้าก็ด้วย เสื้อผ้าที่รุ่นพี่แกสวมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เป็นชุดถักสีเขียวเหลืองและกางเกงรัดรูปสีเทา ทำไมลูกที่ไม่เคยเจอรุ่นพี่ถึงรู้จักรูปร่างท่าทางเขาได้ขนาดนี้ แม่แหละชนลุกเลย"

ไม่ใช่แค่แม่ของฉันที่รู้สึกหนาววูบคนเดียวหรอกค่ะ ถึงจะช้ากว่าหน่อยแต่ฉันก็จำได้ว่าฉันก็ขนลุกตามเหมือนกัน
ผู้หญิงคนที่มองเห็นผ่านกระจกในวันนี้ จะเป็นอะไรที่คนเรียกกันว่า "วิญญาณคนเป็น" หรือเปล่า?
อาจจะแตกต่างจากวิญญาณคนเป็นที่คนทั่วไปเคยได้ยินเล็กน้อยนะคะ
แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเราแม่ลูกคงไม่มีทางรู้ความจริงได้ว่านั่นคืออะไรกันแน่
ฉันยังจำได้ว่าคืนนั้น ฉันกับแม่เอาแต่พูดว่า 'น่ากลัวเนอะ'น่ากลัวเนอะ' กันค่ะ

ไม่กี่วันต่อมา แม่ของฉันก็ลาออกจากงานอย่างไม่มีเหตุร้ายใด ๆ แต่ก็ได้ยินมาว่า รุ่นพี่คนดังกล่าวได้ให้ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มา
อย่างไรก็ตาม แม่ซึ่งเป็นคนที่รับของนั้นมา ก็เอาของขวัญมาให้ฉันดู และถามฉันว่าอยากได้หรือเปล่า
ฉันตอบไปว่า ไม่อยากได้ และถามแม่กลับไปว่า ทำไมถึงแม่ถามแบบนั้น
จากนั้นแม่ซึ่งเพิ่งเอาของขวัญที่ไม่มีที่ไปไปทิ้งในถังขยะอย่างแอบสงสารก็ตอบว่า

"ก็เพราะรุ่นพี่คนนั้นน่ะ บอกว่า 'ไม่รู้นะว่าจะชอบรึเปล่า ถ้าไม่ถูกใจ ก็เอาไปให้ลูกสาวนะ'"

ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์ตรงของพวกเราค่ะ
ฉันได้ละเรื่องอื่น ๆ ออกไปมากเพื่อให้ได้เรื่องที่สั้นที่สุดแล้ว ถ้าไม่ถูกใจยังไงก็ขออภัยด้วยค่ะ
ฉันก็คิดว่าน่าจะเขียนทุกอย่างออกไปโดยละเอียด แต่ฉันก็รู้สึกประหม่าค่ะ
เพราะในตอนนี้ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่า รุ่นพี่คนนั้นจะไม่ตามมา "ดู" พวกเราอยู่รึเปล่าน่ะค่ะ...

แปลมาจากเรื่อง “先輩” โดย 桜野

---------------------------

คงนึกภาพมนุษย์ป้าที่ชอบเผือกชอบส่องชาวบ้านกันออกนะครับ ยิ่งถ้าจะถอดจิตไปส่องชาวบ้านได้ขนาดนี้ ตอนเจอเครื่องรางแล้วทำหน้าเหมือนเป็นยักษ์ คงจะหนีไปเพราะกลัวหน้ายักษ์หลุดออกมาให้คนเห็นมั้งครับ...

เดี๋ยวคราวหน้ามาพูดกันถึงเรื่อง โอมาจิไน หรือความเชื่อแบบถือเคล็ดหรือคำพูดร่ายมนต์ง่าย ๆ ของญี่ปุ่นกันบ้างดีกว่าครับ

อ่านบทความอื่นได้ที่นี่>>>เรื่องราวลี้ลับและสยองขวัญ

หัวข้อเรื่อง

Survey[แบบสอบถาม] กรุณาบอกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น







Recommend