ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนชาติใด รวมถึงพิธีแต่งงานที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีแบบดั้งเดิมของคนญี่ปุ่นในรูปแบบพิธีแบบชินโต แต่ในปัจจุบันก็ได้มีพิธีแบบสากลที่เป็นพิธีแบบคริสเตียนหรือการจัดงานเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น

❥นิยมแต่งงานกันในเดือนมิถุนายน
ทั้งที่เดือนมิถุนายนเป็นฤดูฝนที่ไม่เหมาะกับการจัดงานและการเดินทางซักเท่าไหร่ สภาพอากาศอบอ้าวชื้นแฉะ และแขกที่มาร่วมงานเดินทางมาลำบาก ในสมัยก่อนคนญี่ปุ่นจึงไม่นิยมจัดงานแต่งงานในเดือนนี้สักเท่าไหร่นัก
ทางโรงแรมหรือสถานที่จัดงานแต่งงานจึงคิดค้นกลยุทธ์ทางการตลาด ผูกเรื่องราวของเทพนิยายของเทพีจูโน่ซึ่งเป็นมเหสีของเทพจูปีเตอร์ ซึ่งพ้องเสียงกับ June หรือเดือนมิถุนายน เธอเป็นเทพธิดาคุ้มครองผู้หญิงให้มีความสุขและอวยพรให้คลอดบุตรอย่างปลอดภัย ตามความเชื่อของชาวโรมันคิดกันว่า จูโน่เป็นเทพีแห่งการแต่งงาน เดือนนี้จึงเป็นเดือนโชคดีที่สุดที่จะแต่งงาน คนญี่ปุ่นจึงรับเอาความเชื่อว่าแต่งงานในเดือนหกแล้วจะมีความสุขนั่นเอง
❥เกร็ดความรู้ ความหมายของ June Bride
เป็นความเชื่อและธรรมเนียมที่ชาวญี่ปุ่นรับเอามาจากชาติตะวันตก จากแนวความคิดของชาวโรมันที่นิยมแต่งงานกันในเดือนมิถุนายน เพราะเชื่อว่าเดือนมิถุนายนเป็นเดือนของเทพีจูโน่ ตามแบบ Juno Bride ซึ่งเป็นเทพีที่เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจ การเป็นที่รักและความสุข
อีกที่มาหนึ่งเชื่อว่ามีที่มาจากเพลง June Bride ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนต์เรื่อง Seven Brides for Seven Brothers เป็นภาพยนต์แนวคลาสสิค หนังเพลงน่ารักของบรอดเวย์ปี 1954 ได้กล่าวในเนื้อเพลงว่า เจ้าสาวในเดือนมิถุนายนจะคงความสาวตลอดไป เป็นความหวานในหัวใจเจ้าบ่าวตลอดไป หัวใจของเจ้าสาวเดือนมิถุนาจะสดใสเหมือนดังฤดูใบไม้ผลิที่ยาวนานจนสิ้นสุดฤดูร้อนที่ยาวนาน

❥ งานแต่งงานที่ประเทศญี่ปุ่นมี 4 แบบหลัก
- พิธีแต่งงานแบบคริสเตียน แม้คู่แต่งงานจะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม แต่ก็ยังคงจัดพิธีในโบสถ์และสวมชุดแต่งงานสีขาวแบบสากลตามแบบชาวตะวันตก สำหรับคนญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาด (แม้จะแปลกในสายตาคริสเตียนชาวไทยก็ตาม) แต่เป็นเรื่องทางธุรกิจที่โบสถ์บางแห่งในประเทศญี่ปุ่นจะเป็นแค่สถานที่ที่สร้างขึ้นมาสำหรับประกอบพิธีแต่งงานเท่านั้น
- พิธีแต่งงานแบบชินโต เป็นรูปแบบงานแต่งงานแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่น โดยจะสวมชุดแต่งงานแบบญี่ปุ่น เจ้าสาวจะใส่ชุดกิโมโนสีขาว เกล้าผม สวมวิกและคลุมผ้าสีขาว เจ้าบ่าวจะใส่ชุดสีดำ มีตราประจำตระกูลปักที่อกและแขนเสื้อทั้ง 2 ข้าง ซึ่งในปัจจุบันจะมีน้อยลงเพราะงบประมาณในการจัดงานนั้นสูงพอสมควร
- พิธีแต่งงานแบบสมัยนิยม งานแต่งงานรูปแบบนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยมีต้นแบบมาจากพิธีของเจ้าหญิงไดอาน่าในช่วงทศวรรษที่ 1980 มักจะมีรูปแบบ “งานแต่งงานสีขาวสวยงามดั่งเทพนิยาย”
- พิธีแต่งงานรูปแบบอื่นๆ ตามความสะดวกของคู่บ่าวสาวหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น

❥ สิ่งที่แตกต่างจากงานแต่งงานของคนไทย
- การ์ดแต่งงาน โดยปกติคนญี่ปุ่นจะโทรศัพท์ไปแจ้งแขกที่จะเชิญมาในงานก่อนที่จะส่งการ์ดให้ทางไปรษณีย์ และในบัตรเชิญจะแนบไปรษณียบัตรตอบกลับติดแสตมป์เพื่อให้แขกตอบกลับว่าจะสามารถไปร่วมงานได้หรือไม่
- เงินใส่ซอง โดยซองจะใช้เป็นซองที่คู่แต่งงานใส่การ์ดเชิญมาไม่ได้ ต้องเป็นซองใส่สำหรับงานแต่งงาน มีอยู่หลายรูปแบบ โดยต้องเป็นแบบที่เป็นเงื่อนผูกไม่ทิ้งปลาย (หากทิ้งปลายมีความหมายว่า”แยกทางกัน”) เขียนหน้าซองด้วยพู่กันอย่างสวยงาม ธนบัตรต้องเป็นธนบัตรใหม่เท่านั้น
- ของชำร่วย คนญี่ปุ่นจะให้เกียรติแขกที่มาร่วมงานมาก โดยของชำร่วยจะมีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 4-5 พันเยน หรือครึ่งหนึ่งของเงินใส่ซองขั้นต่ำ แทนการขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน
- การแต่งกาย แขกที่มาร่วมงานนิยมที่จะแต่งสีกรมท่าหรือสีดำ เพราะเป็นสีที่สุภาพ แต่มีเครื่องประดับที่เป็นสีสัน หากเป็นผู้หญิงก็จะมีผ้าคลุมไหล่ หากเป็นผู้ชายก็จะเป็นเนคไทสีสันสดใส หรือผู้หญิงส่วนใหญ่จะนิยมใส่ชุดวันพีช
- จำนวนแขก มีจำนวนประมาณ 70-100 คน ส่วนใหญ่จะเป็นคนในครอบครัวและคนสนิทเท่านั้น หากไม่ได้รับเชิญไม่ควรมาร่วมงานโดยพลการ
- ความเป็นพิธีรีตอง เวลาเริ่มและจบพิธีจะตรงกับที่ระบุในการ์ดแต่งงาน, จำนวนแขก, ขั้นตอนตามพิธีการ, อาหารและของชำร่วย ทุกอย่างจะเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยถูกกำหนดมาตามจำนวนแขกที่ระบุในไปรษณียบัตรตอบรับและลำดับพิธีการ

❥ ทำไมเจ้าสาวต้องใส่ชุดสีขาวเท่านั้น
เจ้าสาวจะสวมชุดกิโมโนสีขาว ที่เรียกกันว่า”ชิโรมุคุ” (แปลว่าขาวสะอาดไร้ราคี) ดังนั้นเจ้าสาวจึงต้องสวมชุดขาวทั้งหมด ใบหน้าก็ต้องทาสีขาว เพราะคนญี่ปุ่นเชื่อว่าสีขาวเป็นสีที่สะอาดบริสุทธิ์
ชุดชิโรมุคุจะต้องใช้ผ้าเนื้อดี ทำการเย็บอย่างประณีต ด้านนอกจะบรรจงปักลายที่สวยงาม เรียกว่า “อุจิคาเคะ” ด้านในเรียกว่า “คาเดะชิตะ” ผ้าคาดเอวเรียกว่า “โอบิ” ทั้งหมดเป็นสีขาวสื่อความหมายว่า พร้อมที่จะย้อมตัวเป็นสีเดียวกันกับครอบครัวของเจ้าบ่าว เพราะสีขาวเป็นสีที่อ่อนที่สุด ไม่ว่าจะผสมกับสีใดก็พร้อมที่จะกลายเป็นสีนั้น
มีผ้าคลุมผมสีขาวอยู่บนศรีษะที่ใส่วิกผม เรียกว่า “ซึโนะคะคุชิ” เพื่อเตือนเจ้าสาวถึงเรื่องความโกรธ หึงหวง หงุดหงิดใส่สามีเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ โดยคนญี่ปุ่นจะมีความเชื่อว่าเมื่อเวลาผู้หญิงโกรธ หึงหวง จะดูน่ากลัวเหมือนยักษ์และเขายักษ์ก็จะโผล่ออกมาเวลาที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ จึงนำผ้าคลุมผมมาครอบบังเขาไว้ เพื่อให้เชื่อฟังสามีและเป็นภรรยาที่ดี
หรือหมวกคลุมผมสีขาวใบใหญ่ เรียกว่า “วาตาโบชิ” ที่เจ้าสาวมักจะใส่ในพิธีแต่งงานในศาลเจ้า โดยมีความหมายโดยนัยว่า จะไม่ให้ชายใดเห็นหน้าตาเจ้าสาวก่อนเจ้าบ่าวของตนเอง

❥ การเปลี่ยนสีชุดระหว่างพิธี
ในสมัยก่อนคนญี่ปุ่นจะแต่งกายศพด้วยชุดสีขาว ซึ่งเชื่อว่าเป็นชุดของคนตาย และในสมัยเอโดะนั้นชุดแต่งงานก็เป็นชุดที่มีสีสันฉูดฉาด แต่เมื่อมาถึงยุคเซ็นโกคุ (ในช่วงระหว่าง 477-222 ปีก่อน ค.ศ.) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีสงครามภายในประเทศของพวกไดเมียว จึงมีการแต่งงานเพื่อให้การสอดแนมหรือการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์หรือเพื่อความสงบในเมืองนั้นๆ ทำให้เกิดเป็นประเพณีที่ว่าให้เจ้าสาวใส่ชุดสีขาว เพื่อเป็นการยืนยันว่าตายต่อครอบครัวเก่าแล้ว และพร้อมที่จะรับเอาสีใหม่ของครอบครัวฝ่ายชายไว้เป็นสีของตน
การเปลี่ยนสีชุดนั้นเริ่มในสมัยนาระ (ค.ศ. 710 – 794) เป็นสมัยที่วัฒนธรรมและศิลปะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ในสมัยนั้นหากแต่งงานต้องสวมชุดสีขาวไม่มีลายเป็นเวลา 3 วัน ในวันที่ 4 จึงสวมชุดที่มีสีสันได้ วัฒนธรรมนี้จึงตกทอดมาในสมัยปัจจุบัน จึงมีการเปลี่ยนชุดระหว่างงานเลี้ยงนั่นเอง
ในสมัยก่อนพิธีแต่งงานของคนญี่ปุ่นมักมีการเปลี่ยนชุด 2-3 ชุด จากชุดสีขาวเป็นชุดที่มีสีสันสดใสหรือชุดกิโมโน เป็นการสร้างบรรยากาศในงานให้แขกที่มาร่วมงานได้ลุ้นหรือจับจ้องมาคู่บ่าวสาว ในปัจจุบันบางงานก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนชุดตามงบประมาณและความสะดวกของคู่บ่าวสาว
Comments