FUN! JAPAN PR

[รายงาน] รีวิวมอนิเตอร์ทัวร์ท่องเที่ยวญี่ปุ่นฟรีตะลุยเมืองชิมันโตะ จังหวัดโคจิกับ FUN! JAPAN

  • 6 ธันวาคม 2019
  • FUN! JAPAN Team

แนะนำผู้โชคดีทั้ง 2 ท่านและสต๊าฟจาก FUN! JAPAN

สวัสดีครับ! ผมและเพื่อนของผม เป็นผู้โชคดีในการร่วมสนุกของทาง FUN! JAPAN โดยทริปนี้ มีผู้โชคดีจาก 2 ประเทศ คือ ประเทศไต้หวัน และ ประเทศไทย พวกเราทั้ง 4 คนเดินทางกันไปที่เมืองชิมันโตะโดยได้นัดเจอกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ จังหวัดโอซาก้าตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะต่อเครื่องบินในประเทศเพื่อเดินทางต่อไปที่เมืองชิมันโตะ จังหวัดโคจิ และสำหรับทริปนี้ใช้เวลาเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติคันไซ ประมาณ 40 นาทีก็ถึงสนามบินจังหวัดโคจิอย่างรวดเร็ว มือใหม่ก็สามารถเดินทางได้แบบสบายๆ

ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะให้เพื่อนๆที่อ่านบทความนี้ได้สัมผัสกับความงดงามจากธรรมชาติและเสน่ห์ของเมืองชิมันโตะ จังหวัดโคจิผ่านวิดีโอที่พวกผมเป็นคนทำขึ้นกันก่อนดีกว่า รับรองว่าเพื่อนๆจะต้องถูกใจและอยากลองไปเยือนกันอย่างแน่นอนครับ


วันที่ 1 : เริ่มออกเดินทางและสัมผัสกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอันทรงคุณค่า

เมื่อเราเดินทางมาถึงจังหวัดโคจิ แล้วเราก็เดินทางกันต่อโดยนั่งรถตู้ หรือที่คนที่นี่เรียกว่า Jumbo Taxi ต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครับ สำหรับ มื้อแรกเราได้แวะทานอาหารพื้นเมืองกันที่ ย่านคาวะอุโซโนะซาโต้สุซะกิ (Kawauso-no-sato Susaki) โดยมีอาหารชื่อดังคือ ปลาคัตสึโอะ (Katsuo) ซึ่งเป็นเมนูดังของเมืองนี้ ปลาคัตสึโอะ ที่เรารู้จักกันส่วนใหญ่ จะเป็นปลาแห้งที่เอาไว้ใช้ทำซุป หรือเอาไว้โรยบนโอโคโนมิยากิ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เคยทานเนื้อปลาคัตสึโอะ พึ่งรู้ด้วยซ้ำว่าเนื้อมันกินได้ ตัวของเนื้อปลานุ่มและเมื่อมาผสมกับน้ำซอสสูตรพิเศษทำให้เมนูนี้เป็นเมนูเด็ดที่ถ้าใครจะมาเที่ยวที่นี้ ผมบอกเลยต้องห้ามพลาด เพราะอร่อยและหาทานง่ายมากๆ ด้วย 

พออิ่มแล้วเราก็เดินทางต่อ ซึ่งกิจกรรมต่อไปของเราคือการใส่ชุดยูกาตะ ถ่ายรูปกับพื้นหลังที่เป็นบรรยากาศของหมู่บ้านแห่งนี้ โดยจริงๆ แล้วชุดยูกาตะนั้นชาวญี่ปุ่นจะใส่กันในช่วงหน้าร้อนกันเพื่อไปดูเทศกาลดอกไม้ไฟที่เป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่นที่จะมีจัดขึ้นทุกปี ต้องบอกเลยว่านี่เป็นการใส่ชุดนี้ครั้งแรก เข้าใจเลยว่าทำไมชาวญี่ปุ่นนำมาใส่ในหน้าร้อนของเขาเพราะชุดนี้สวยและใส่สบายเอามากๆ

มาถึงช่วงเย็นของวันแรก ทางสต๊าฟ FUN! JAPAN ได้นำพวกเราไปทานข้าวมื้อเย็นแบบหรูหราของที่นี่ โดยอาหารที่นี่จะจัดให้เป็นเซ็ตตามลำดับหรือที่เรียกว่า ไคเซกิ (Kaiseiki) เป็นการเสิร์ฟอาหารตามทำเนียมดั้งเดิมของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมักจะใช้วัตถุดิบจากพื้นที่นั้นๆ หรือวัตถุดิบตามฤดูกาลเป็นหลัก เพื่อให้อาหารมีความสดใหม่ และได้รสชาติของอาหารพื้นเมืองอย่างแท้จริง

โดยมื้อนี้เราไม่ได้ร่วมทานกับแค่ผู้โชคดีด้วยกันเท่านั้น มีผู้ใหญ่ของที่นี่มาต้อนรับมากมาย ผู้ใหญ่ทุกท่านใจดีและเป็นกันเองสุดๆ ทำให้วันนี้เป็นการจบวันที่แสนจะอบอุ่น และโรงแรมในคืนแรกของเราที่ New Royal Hotel Shimanto นั้นมีออนเซ็นให้แช่ด้วยนะครับ ใครมาญี่ปุ่นต้องลองนะครับ ไม่งั้นจะพลาดโอกาสสัมผัสบรรยากาศแบบชาวญี่ปุ่นจริงๆ 

วันที่ 2 : เต็มอิ่มไปกับทิวทัศน์ธรรมชาติที่จะเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ 

มาถึงวันที่ 2 ผมตื่นเช้ามาด้วยการสัมผัสอากาศที่ใฝ่ฝัน ประมาณ 22 องศา ซึ่งเป็นอากาศที่ถือว่าเย็นสบายกำลังดี ได้ใส่ชุดเท่ๆ สวยๆ ที่ต้องการ พอทานอาหารที่โรงแรมกันเรียบร้อยก็ออกเดินทางได้เลย เช้านี้เราได้ไปที่ ท่าเรือคาชิวะจิมะ (Kashiwajima) ซึ่งเป็นท่าเรือที่ชาวบ้านได้ใช้กันเพื่อออกไปทำประมงกัน เป็นท่าเรือที่สวยมาก คงเพราะด้วยน้ำจากทะเลที่ใสและบรรยากาศที่เป็นญี่ปุ่นจ๋า ทำให้ทุกอย่างลงตัว มีภูเขาทะเลแดดอ่อนๆ เหมาะแก่การถ่ายรูปลงโซเชียลให้เพื่อนๆ ที่ติดตามอิจฉามากๆ 

วิวที่ท่าเรืออาจจะยังสะใจไม่พอ ที่นี่ยังมีจุดชมวิวที่สวยมากๆ อีกที่คือ แหลมคันโนนิวะ (Kannoniwa) ซึ่งเป็นการขึ้นไปบนเขาโดยเมื่อมองลงไปก็จะได้เห็นแหลมชื่อดังของที่นี่ แหลมนี้ตั้งอยู่ในเมือง Otsuki ครับ บอกตามตรงว่าในชีวิตไม่เคยเห็นวิวพาโนราม่าที่ไหนสวยเท่าที่นี่มาก่อน เขาที่เกิดจากธรรมชาติประกอบกับทะเลสีน้ำเงินสุดเนียนตา แสงแดดอ่อนๆที่เข้ากับสายลมเย็นสบาย จึงทำให้ที่แหลมแห่งนี้เป็นจุดที่ใครมาแล้วต้องขึ้นมาให้ได้

ทางลงเขายังมีอีกกิจกรรมนึงให้เราได้ทำคือการให้อาหารลิงที่สวนลิงของที่นี่ เป็นจุดขายที่นักท่องเที่ยวต้องมาเล่นกับลิงผู้แสนน่ารักของที่นี่ ลิงที่นี่ใจดีและไม่ทำร้ายคน ถึงแม้หน้าตามันจะดุและดูเอาเรื่อง แต่ความจริงใจดีและสามารถเข้าใกล้ชิดได้โดยไม่ต้องกลัวโดนทำร้ายเลยทีเดียว

ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์แมงปอให้ได้ศึกษาด้วย แสดงถึงว่าที่นี่นั้นแสนธรรมชาติอย่างแท้จริง ใครที่สนใจด้านนี้ต้องมาที่นี่เลย นอกจากแมงปอแล้วก็มีสัตว์ธรรมชาติให้ศึกษาอีกมากมาย เช่น ปลา และสัตว์จำพวกแมลงอีกมากมาย แถมที่นี่ยังมีวิวธรรมชาติด้านหลังให้เดินไปถ่ายรูปได้อีกด้วย

จุดถ่ายรูปในชิมันโตะที่ไม่ควรพลาด! รับรองปังในโซเชียลแน่นอน

หากใครยังไม่จุใจอีก ที่เมืองชิมันโตะแห่งนี้ยังมีแหล่งถ่ายรูปสวย ๆ อีกที่นึงคือ สะพานแดงอะกะเทคเคียว (Akatekkyo Bridge) ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองชิมันโตะเลยล่ะ ที่มีมุมให้ถ่ายหลากหลายมาก ถ้ามาตอนเช้าแล้วแดดยังมีอยู่จะเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์สุดๆ สีของสะพานตัดกับสีแม่น้ำและสีของผืนหญ้า ได้รูปสวยให้เพื่อนๆ อิจฉากันอีกแล้ว

จุดต่อไปเปรียบเสมือนเป็นหัวใจของเมืองชิมันโตะเลยล่ะครับ ชิมันโตะเป็นเมืองธรรมชาติที่มีแม่น้ำสายหลักที่อยู่คู่กับชาวบ้านเมืองนี้มานานแสนนาน โดยครั้งนี้เราได้ไปเยือน 2 สะพานก็คือ สะพานซาดาชินคะบาชิ (Sadachinkabashi Bridge) และ สะพานคัตสึมาชินกะ (Katsumachinka Bridge) ครับ 

นี่คือ “สะพานซาดาชินคะบาชิ” สังเกตดีๆจะเห็นขาสะพานสีฟ้านะครับ

การได้มาสัมผัสแม่น้ำนี่ใกล้ๆ ได้เดินถอดรองเท้าบนก้อนหินสีขาวก็เหมือนเป็นการได้นวดไปในตัว ได้นั่งบน “สะพานคัตสึมาชินกะ” อยู่กับตัวเองสักครู่ สูดอากาศที่บริสุทธิ์ นี่แหละคือการมาเที่ยวและได้พักผ่อนจากการทำงานออฟฟิศที่แสนน่าเบื่อของจริง

ประสบการณ์ชมดาวในญี่ปุ่นที่ประทับใจจนไม่มีวันลืม

ตกเย็นเราเริ่มหิวกันแล้ว วันนี้เราพักกันที่ โรงแรม Hotel Seira Shimanto ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อดังของที่นี่ อาหารโรงแรมที่นี่อร่อยมาก ที่โดนใจมากๆ ก็ต้องเป็นเนื้อชิมันโตะย่างที่ไม่ธรรมดา เนื้อนุ่มหอมกลิ่นซอส ทั้งหมักและย่างอย่างดี ใครตัดสินมาพักที่นี่ให้ลองเมนูด้วยครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน

อิ่มกันแล้วทางโรงแรมได้มีเซอร์ไพรส์พาผู้ที่เข้าพักที่สนใจดูดาวไปดูดาวกัน ซึ่งที่นี่มีกล้องดูดาวโดยเฉพาะให้เราได้ดูดาวแบบเห็นเต็มตากันเลย ซึ่งโชคดีมากที่วันนั้นท้องฟ้าเปิดและดาวเยอะมากๆ โชคดีไปกว่านั้นวันนั้นได้ดูดาวอยู่ดีๆ ก็มีดาวหางพุ่งผ่าน ทำให้เป็นที่ฮือฮากันมาก ๆ ถือว่ามาทริปนี้คุ้มแล้วได้เห็นดาวหางเต็มตาครั้งแรกในชีวิต 

วันที่ 3 : เรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น

ถ้าใครตื่นเช้าก็จะได้เห็นหมอกเป็นแถบยาวตลอดหุบเขาจากโรงแรมอีกด้วย วันนี้ทาง FUN! JAPAN เริ่มทริปด้วยการพาไปซื้อฝากที่ร้านชื่อดังของที่นี่ เรียกว่า ย่านโยตเตะนิชิโตสะ (Road Station Yotte Nishitosa) ส่วนใหญ่จะเป็นขนมหรืออาหารที่ใช้วัตถุดิบของในพื้นที่ นำมาทำการผลิตทั้งนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าซื้อและสนับสนุนมาก ล้วนมีคุณค่าทางจิตใจ แถมยังมั่นใจได้เรื่องคุณภาพ และความใส่ใจของผู้ผลิตนั้นเอง ผมและเพื่อนเองก็ได้อุดหนุนเกลือมา 1 ถุงครับผม

ซื้อเสร็จแล้วเราก็ไปสัมผัสกับบรรยากาศธรรมชาติอีกหน่อยกันที่ หุบเขาคุโรซน เคโคขุ (Kuroson Keikoku) ที่นี่เป็นแม่น้ำสายเล็กที่เราสามารถไปถ่ายรูปคู่กับน้ำตกขนาดย่อมได้เพราะสวยและเย็นแถมชิคเหมาะกับการลงโซเชียลให้เพื่อนๆ อิจฉาไม่แพ้กันอีกเช่นเคย ถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีรับรองสวยกว่านี้อีกมาก

สำหรับผมแล้ว จุดไคล์แมกซ์ที่สุดของเมืองชิมันโตะ คือการได้ นั่งล่องเรือในแม่น้ำชิมันโตะ (Yakatabune Nattoku) หลายคนอาจจะคิดว่าก็เป็นแค่ล่องเรือธรรมดา แต่ไม่ใช่ครับ มันมีอะไรมากกว่านั้นมากๆ สำหรับผมแล้วการได้มีโอกาสมาล่องเรือในญี่ปุ่นนั้นยังมีไม่มากนัก การได้ชื่นชมธรรมชาติของแม่น้ำ และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของแม่น้ำจากพี่คนคุมเรือไปด้วย ช่างทำให้เป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ หลังจากนั้นเราก็ได้ไปสนุกกับการปั่นจักรยานชมธรรมชาติกันครับ

ก่อนกลับตามประเพณีแล้วก็ต้องมาไหว้ศาลเจ้าชื่อดังของที่นี่คือ ศาลเจ้าอิชิโจ (Ichijo Shrine) ศาลเจ้าที่นี่แตกต่างจากศาลเจ้าญี่ปุ่นทั่วไปตรงที่ผู้คนไม่เยอะเลย เงียบสงบ และสวยงามมาก หากใครจะไหว้ขอพรก็ต้องทำตามประเพณีของที่นี่ด้วยนะ เพราะการไหว้บูชาของที่นี่จะมีความแตกต่างจากของบ้านเรา 

หลังจากไหว้พระแล้วเราก็ไปปิดท้ายที่ พิพิธภัณฑ์ของเมืองชิมันโตะ (Shimanto City Museum) ให้เราไปศึกษาประวัติศาสตร์ของที่นี่ได้อย่างถ่องแท้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร เรามากันตอนที่ตึกนี้ได้รีโนเวทใหม่แล้วทำให้ใหม่และน่าเดินน่าชื่นชมมาก ที่นี่มีทั้งหมด 6 ชั้น ให้เราได้ศึกษาไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเดินขึ้นไปศึกษาจนครบแล้วบนดาดฟ้าของที่นี่ยังให้ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกดิน แถมยังสามารถเห็นวิวได้รอบเมืองชิมันโตะอีกด้วย 

วันสุดท้าย เมื่อเวลาจากลามาถึง : ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ

ไม่แปลกที่คนเราจะบอกว่าเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ ถึงเวลาต้องกลับ ทริปนี้เป็นทริปที่ดีมากจริงๆ สำหรับคนชอบธรรมชาติ ผมขอแนะนำให้มาโดยไม่ต้องคิดมากเลย คุ้มค่าอย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทาง FUN! JAPAN ที่ดูแลเราดีตลอดการเดินทาง เป็นประสบการณ์ที่ดีมากและจะไม่มีวันลืม อยากให้จัดกิจกรรมแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้ให้ผู้โชคดีอื่นที่ยังไม่เคยมาได้มีโอกาสได้มาสัมผัสบรรยากาศดีๆ แบบนี้แบบพวกเราครับ 

หัวข้อเรื่อง

Recommend